Saturday, October 11, 2025

เส้นทางของ Fendi ตลอด 1 ศตวรรษ กับความงามที่ถูกถ่ายทอดจากสายเลือดครอบครัวสู่โลกแฟชั่น

ท้องฟ้าภายนอกของกรุงโรมนั้นเปรียบได้ดั่งท้องฟ้าในเพลงโปรดสักเพลงเท่าที่เราร้องได้ขึ้นใจ ซุ้มโค้งขนาดใหญ่ของตัวอาคาร Palazzo della Civiltà Italiana ของย่าน EUR กองบัญชาการใหญ่ของ Fendi ดึงดูดเราเข้าเป็นส่วนหนึ่งของงานศิลป์อันมีชีวิต เบื้องหน้าฉันคือซิลเวีย เวนตูรินี เฟนดิ ผู้นั่งเอกเขนกอยู่ภายในสตูดิโอของเธอเอง เป็นพื้นที่ที่ตัวเธออธิบายว่าเหมือนอะควาเรียม โดยเป็นห้องที่มีผนังเป็นกระจกรายรอบ ทำให้สามารถมองออกไปเห็นแผนกสร้างสรรค์ของแบรนด์ Anna ผู้เป็นแม่ของ ซิลเวีย พร้อมกับบรรดาพี่และน้องสาว Alda, Franca, Carla และ Paola ร่วมกันสานต่อธุรกิจของตระกูลที่ผู้เป็นพ่อ Edoardo Fendi และผู้เป็นแม่ Adele Casagrande ก่อตั้งขึ้นในปี 1925

กระเป๋ารุ่นไอคอน Baguette ที่ริเริ่มปี 1997 ได้รับการพัฒนาต่อยอดเรื่อยมาในแต่ละซีซั่น (ในภาพคือกระเป๋าจากปี 2022 ผ่านการรังสรรค์จากกลุ่มช่างฝีมือในแถบ Marche ของประเทศอิตาลี โดยเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์สนับสนุนผุ้มีความสามารถพิเศษ)

จนกระทั่งมาในรุ่นของซิลเวียนั้น การบอกเล่าด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เคร่งขรึม สะท้อนความมั่นคงในมรดกตกทอด ‘Made in Italy’ ที่ได้รับมา เธอผ่องถ่ายมุมมองความงามที่สืบสานจากรุ่นสู่รุ่นออกมาพร้อมกับวิสัยทัศน์ ความเจนจัดเชิงหัตถศิลป์ ความทรงจำถึงอดีต และความกระตือรือร้นไม่หยุดนิ่ง ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนยิ่งผ่านโชว์ประจำ Fall/Winter 2025 อันน่าจดจำในมิลาน โดยเป็นการแสดงผลงานคอลเล็กชั่นที่บอกเล่าถึงการเดินทางของครอบครัวในหน้าประวัติศาสตร์แฟชั่นเพื่อรุดหน้าต่อไปอย่างมุ่งมั่นในอนาคต ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การโหยหาอดีตอันรุ่งโรจน์ แต่คือการซื่อสัตย์ต่อการเดินทางสุดอัศจรรย์ของแฟชั่นเฮาส์แห่งนี้ที่กินเวลามาร่วมหนึ่งศตวรรษแล้ว

กลุ่มพี่น้อง Fendi ได้แก่ อัลดา, ปาโอลา, อันนา, คาร์ลา และฟรองกา ถ่ายภาพกับ Bernard Arnault ที่ซื้อกิจการของแบรนด์ Fendi ในปี 2001 เพื่อควบรวมเข้าสู่กลุ่มแบรนด์ลักชัวรี่อย่าง LVMH

ภายในสตูดิโอของเธอที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สีขาวสะอาดตา มีตุ๊กตาหมีที่ถูกแต่งองค์ทรงเครื่องเป็น Karl Lagerfeld ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ ณ ตรงนั้น ส่วนซิลเวียเองก็ดึงดูดสายตาของฉันเช่นกัน “มันน่ามหัศจรรย์ไหมล่ะคะ หากแค่คุณคิดว่าคาร์ลอยู่กับเรามาตั้ง 54 ปี ฉันว่ามันทุบสถิติเลยนะ มันก่อเกิดเป็นพลังงานบางอย่างในแบบครอบครัว เป็นสายใยที่มั่นคง แข็งแรง แน่นแฟ้นเอาเสียมากๆ คุณมาทำงานกับ Fendi และออกไปบริษัทอื่น ได้โปรยเมล็ดพันธุ์ที่ผลิดอกออกผลจนเกิดผลลัพธ์ที่ดีให้กับอาชีพของฉัน พวกเขาเหล่านั้นยังมีมิตรภาพอันดีและไม่เคยลืมช่วงเวลาที่ได้อยู่กับเรา เมื่อพวกเขาเอ่ยถึงช่วงเวลาที่ได้ร่วมงานกับ Fendi มักจะเต็มไปด้วยความทรงจำอันน่าประทับใจ ยิ่งช่วงเวลาที่มีคาร์ลอยู่ด้วย มันคือขวบปีแห่งการก่อร่างสร้างแบรนด์ทั้งในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์และในแง่ของการทำงานแบบมืออาชีพ ซึ่งสำหรับฉันมันมีความหมายมากๆ

แฟชั่นโชว์ประจำ Fall/Winter 2025-2026 ซึ่งจัดขึ้นภายใน Palazzo Fendi อาคารสำนักงานใหญ่ประจำเมืองมิลานที่เพิ่งได้รับการรีโนเวต โดยจะมีพื้นที่ทั้งสำหรับคอลเล็กชั่นต่างๆ ของแบรนด์ การจัดแสดงเอ็กซิบิชั่น ส่วนออฟฟิศ และสเปซสำหรับงานสร้างสรรค์ ภายในโชว์นี้เองที่ได้ Dardo และ Tarzio (ลูกทั้งสองของ Delfina Delettrez Fendi ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ของ Fendi ฝั่งเครื่องประดับ) มาเป็นคนเปิดประตูเพื่อให้เหล่านางแบบเดินออก โดยทั้งคู่แต่งตัวเหมือนซิลเวียตอนอายุ 6 ขวบ สมัยที่เธอร่วมในแฟชั่นโชว์ของแบรนด์ครั้งแรก

ELLE: คุณไม่คิดหรือว่าการที่แบรนด์มีทุกวันนี้ได้เพราะคุณแสดงให้เห็นว่าตัวเองเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา?

SILVIA VENTURINI FENDI: ก็คิดว่าเป็นเช่นนั้นนะคะ การถ่อมตนมีความจำเป็นมากๆ ที่ทำให้ฉันมีความกระตือรือร้นอยู่เสมอ เมื่อคุณขาดมันไปและคิดว่าตัวเองถึงพร้อมทุกอย่างแล้ว คุณก็อาจจะมองอะไรแค่แคบๆ อดีตเพื่อนร่วมงานที่ผ่านมาทั้งหมดของฉันต่างมีส่วนในการสอนให้ฉันมองในหลายแง่มุมที่แตกต่างกัน ให้ฉันมองในมิติลึกล้ำที่บางทีเราไม่สามารถมองเห็นได้ ฉันเรียนรู้มามากผ่านการเฝ้าสังเกตแม้จะเป็นไปอย่างถ่อมตน

ELLE: แต่ละคอลเล็กชั่นไม่ได้หมายถึงจุดสิ้นสุด แต่หมายถึงการเริ่มต้นใหม่ และสำหรับโอกาสครบรอบ 100 ปีของ Fendi ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่สำหรับคุณหรือไม่? (ตอนนี้ซิลเวียกลับมาออกแบบในส่วนของเสื้อผ้าสตรีอีกครั้ง)

S.V.F: ใช่ค่ะ โอกาสครบรอบ 100 ปีถือเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ ฉันชอบแนวคิดของการเริ่มต้นเฉลิมฉลองด้วยคอลเล็กชั่นที่ได้มองย้อนกลับไปในดีเอ็นเอของเรา ดังนั้น คราวนี้จึงมีความจำเป็นสำหรับโอกาสพิเศษเช่นนี้เพื่อที่จะได้แสดงออกให้เห็นถึงแก่นแท้ของ Fendi ฉันเลยอยากเรียกคอลเล็กชั่นนี้ว่า ‘Quintessentially Fendi’ มันมีความเป็นส่วนตัวมาก เพราะว่าฉันเริ่มต้นจากความทรงจำ จากความนึกคิดที่มีต่อ Fendi

ELLE: คุณนำพาตัวเองไปสู่ความทรงจำนั้นอย่างไร?

S.V.F: ฉันมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของ Fendi และตระหนักได้ว่าเรื่องราวของฉันกับแบรนด์นั้นยาวนานมาก และถ้ามีคนถามว่า ‘วันแรกที่คุณมาข้องเกี่ยวกับแบรนด์ Fendi คือเมื่อไร?’ ฉันคงจะตอบว่าตั้งแต่วันแรกที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกเลยละ แม่ของฉันบอกว่าเธอตรงดิ่งจากอาเตอลิเยร์ไปยังคลินิกเพื่อคลอดฉัน เลยเป็นเรื่องปกติที่ฉันจะไม่เข้าไปค้นในอาร์ไคฟ์ผลงานเก่าๆ มากนักเพราะว่ามันอยู่ในหัวหมดแล้ว ฉันชอบนึกถึงผู้คนที่ทำงานร่วมกันแทน ได้ใช้เวลาร่วมกัน รับรู้เรื่องราวของแบรนด์ไปพร้อมกัน และมันน่าตื่นเต้นที่ได้เข้าใจว่าเด็กรุ่นใหม่ได้อะไรจากแบรนด์ของเราบ้าง ฉันชอบเฝ้ามองผู้คนและพยายามเข้าใจว่าเขาเห็นอะไรจาก Fendi อย่างไรก็ดี ฉันชอบที่จะดึงเอาความทรงจำส่วนตัวที่มักแตกต่างอย่างมากจากสิ่งที่คนอื่นสามารถเห็นโดยการที่พวกเขาเอาตัวเองดำดิ่งลงไปในผลงานในอาร์ไคฟ์

ซิลเวีย เวนตูรินี เฟนดิ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจบโชว์เมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่เธอรับหน้าที่ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ฝ่ายเสื้อผ้าสตรี เธอกำลังปรับขยับเสื้อผ้าในคอลเล็กชั่นที่อุทิศให้กับการเดินทางอันยาวนานของธุรกิจครอบครัวบนตัวแบบ ด้านหลังคือบรรดา ‘อัญมณี’ ที่ขาดไม่ได้ของผู้หญิงทุกคน ซึ่งนั่นก็คือ ‘กระเป๋า’ อีกหนึ่งไอเท็มสุดคัลต์ที่ช่วยสร้างชื่อให้เธอในระดับนานาชาติมาตั้งแต่ปี 1992

ELLE: อะไรทำให้คุณประหลาดใจเมื่อมองย้อนกลับไปในยุคอดีตของ Fendi?

S.V.F: เวลาได้มองไปที่อาร์ไคฟ์ ฉันได้ค้นพบห้วงความทรงจำที่ทำให้ฉันเป็นคนละเอียดอ่อน ฉันเจอกับรูปมือของฉันตอนยังเป็นเด็กอายุ 6 ขวบ มันปรากฏอยู่บนกระดาษร่างแบบแผ่นหนึ่งที่ใช้สำหรับทำถุงมือเพื่องานแฟชั่นโชว์ซึ่งมีฉันร่วมอยู่ด้วย ตอนนั้นน่าจะประมาณปี 1966 หรือ 1967 นี่ละค่ะ เมื่อได้เห็นก็รู้สึกประทับใจมากเพราะมันสื่อถึงความเป็นมนุษย์ ได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งพร้อมกับบอกกับตัวเองว่า ‘ฉันได้เรียนรู้มามากมายเท่าไรกันนะ ฉันอยู่ที่นี่มาตลอดเลยนี่นา’ ฉันจำได้ว่าตัวเองชอบมาขลุกอยู่ในอาเตอลิเยร์มากมายขนาดไหน แทนที่จะอยู่แต่กับบ้านเพื่อเล่นสนุกกับพี่น้อง ถ้าเกิดมีโอกาสฉันมักจะกระตือรือร้นเพื่อได้ไปอยู่ที่นั่นเสมอ

“ฉันเจอกับรูปมือของฉันตอนยังเป็นเด็กอายุ 6 ขวบในอาร์ไคฟ์ มันปรากฏอยู่บนกระดาษร่างแผ่นหนึ่งที่ใช้สำหรับทำถุงมือเพื่องานแฟชั่นโชว์ซึ่งมีฉันร่วมอยู่ด้วย”

ELLE: ใน Palazzo ที่เราอยู่ตอนนี้นอกจากใช้ชื่อที่สื่อถึงความศิวิไลซ์แล้ว ยังสื่อถึงเรื่องราวของมนุษย์ด้วย เบื้องลึกของ Fendi จริงๆ แล้วมีเรื่องราวของมนุษย์รวมอยู่ด้วยใช่ไหม?

S.V.F: ใช่ค่ะ และฉันหวังใจว่ามันจะอยู่ในเบื้องลึกของทุกคน มันต้องเป็นไปในรูปแบบนั้น ทุกคนต้องพยายามต่อสู้ให้ได้มาซึ่งความเป็นมนุษย์ เราเป็นบริษัทที่เคยดูแลโดยผู้หญิง เกี่ยวโยงทุกอย่างเข้ากับชีวิตส่วนตัว อย่างเช่นเรื่องของการดูแลเด็ก ซึ่ง ณ ตอนนั้นถูกโยนให้เป็นภาระหน้าที่ของผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ถึงอย่างนั้นพ่อของฉันก็ดูแลพวกเราตลอด เพราะว่าระหว่างพวกเราไม่มีกำแพงต่อกันเลย ความเป็นผู้หญิงนำเอาคำว่า ‘home’ มาสู่ตัวบริษัท Fendi ยังเป็นแบรนด์แรก ยาวนานกว่า

แบรนด์ใดในการอุทิศให้กับผลิตภัณฑ์อย่างเฟอร์นิเจอร์ เรามีไลน์เฉพาะสำหรับบ้านตั้งแต่ปี 1987 แม่ของฉันบอกว่า ‘พวกเราไม่ค่อยอยู่บ้านกัน ดังนั้น เราจึงพยายามนำบ้านมาสู่ที่ทำงานด้วย’ การได้นำชีวิตส่วนตัวเข้าไปเชื่อมโยงกับวิถีของการทำงานที่ดึงเอาเวลาของคุณไปมาก ช่วยทำให้คุณได้ดื่มด่ำ ตื่นตาตื่นใจ และเติมเต็มเวลาเหล่านั้น ตอนที่พวกเรายังเป็นเด็กเรามักได้เข้าไปป้วนเปี้ยนอยู่ในสตูดิโอออกแบบได้อย่างอิสระเลยค่ะ

ELLE: อะไรคือสายใยเชื่อมโยงที่นำไปสู่เรื่องอารมณ์ความรู้สึกและความคิดสร้างสรรค์ของ Fendi?

S.V.F: ฉันมีตำแหน่งหน้าที่มากมายในนั้นค่ะ แม่ของฉันรับผิดชอบทุกอย่างเลยในแผนกสร้างสรรค์ ดังนั้น ถ้าอยากเจอเธอ ฉันต้องตรงดิ่งไปยังอาเตอลิเยร์ แม้แต่คาร์ลที่ดูเหมือนเป็นผู้ที่ทำตัวห่างเหินหน่อย ตัวเขาก็ยังรู้สึกสนุกและซึมซับเอาความสดใสจากเด็กอย่างเราๆ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกหายไปไหน เขาจะคอยถามถึงความเห็นของฉันแม้ว่าตอนนั้นฉันยังอายุแค่ 7-8 ขวบเอง (คาร์ลเข้าร่วมทำงานที่บริษัทตอนปี 1965 ถือเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของพี่น้องหญิงล้วนทั้ง 5 และเขาก็เป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ของแบรนด์จนวาระสุดท้ายของชีวิต)

ELLE: บัตรเชิญเข้าร่วมชมโชว์เป็นอัลบั้มภาพครอบครัวที่บอกอะไรได้มากเลยเกี่ยวกับคุณ

S.V.F: มือเล็กๆ ของฉันตอนเด็กที่ฉันบอกคุณไปก่อนหน้านี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของคอลเล็กชั่นที่แสดงออกให้เห็นว่าความเป็นมนุษย์และสายใยของครอบครัวมีความสำคัญมากแค่ไหน รวมถึงขอบเขตของคำว่าครอบครัวที่ขยายใหญ่ขึ้น ของกลุ่มคนที่เราถือว่าเป็นสมาชิกในครอบครัวแม้ไม่ได้ร่วมสายเลือด ตัวอย่างเช่นคาร์ลที่เราถือว่ามีความผูกพันแน่นแฟ้น ได้แชร์มุมมองและความรักลึกซึ้งระหว่างกัน

ELLE: ทุกวันนี้จากมุมมองด้านการออกแบบสร้างสรรค์สู่กลุ่มลูกค้า เรายังต้องอาศัยเรื่องของความเป็นมนุษย์และความอบอุ่นในแบบครอบครัวที่เป็นพื้นฐานเพื่อสร้างแรงปรารถนาในโลกแฟชั่นด้วยหรือไม่?

S.V.F: ฉันคิดว่าการสื่อสารสมัยใหม่ในทุกวันนี้ทำให้เราอยู่ห่างจากความเป็นมนุษย์และการเชื่อมโยงระหว่างกันไปสักหน่อย และนั่นนำมาซึ่งความเย็นชา ไร้ชีวิตชีวาในเรื่องความสัมพันธ์ คงจะมองข้ามไม่ได้ในความจริงที่ว่าปัจจุบันนี้เราสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์มือถือ วันก่อนฉันเพิ่งเห็นหลานของฉันโทรศัพท์คุยกันกับลูกพี่ลูกน้องของเธอทั้งๆ ที่อยู่ในสวนเดียวกัน ฉันเลยบอกกับเธอไปว่า ‘โทษนะหนูน้อย เธออยู่แค่ตรงนั้นเอง ทำไมหนูไม่เดินไปคุยกันเสียเลยล่ะ?’ ทุกอย่างดูเย็นชามากขึ้น ยึดติดกับบางสิ่งบางอย่างมากขึ้น การขาดซึ่งการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงเริ่มทำให้ฉันกลัว

ELLE: เมื่อคุณคิดสร้างสรรค์ผลงาน อะไรที่มักแล่นเข้ามาในหัวของคุณเสมอ?

S.V.F: ฉันชอบความรู้สึกตื่นเต้น ให้อะดรีนาลินได้พลุ่งพล่านเต็มที่ เมื่อได้เห็นสิ่งสวยๆ งามๆ มันทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่สำหรับฉัน ไม่ก็ทำให้ฉันต้องพูดกับตัวเองว่า ‘อ้า นี่ดูเป็น Fendi ที่สุด!’ เวลาคนถามที่แบ็กสเตจว่าอะไรคือแรงบันดาลใจสำหรับคอลเล็กชั่นหรือคอลเล็กชั่นต้องการสื่อสารว่าอะไร ‘งั้นคุณช่วยบอกฉันทีว่าคุณเห็นอะไรบ้าง?’ เพราะมันมีหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกอยู่ในนั้น ฉันเกิดในครอบครัวใหญ่ที่ถือเอาเรื่องการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญในวิถีชีวิตและการทำงาน จะไม่มีคำว่า ‘ฉัน’ แต่จะมีแต่คำว่า ‘เรา’ เสมอ แนวคิดแบบนี้ยังคงอยู่กับฉันเรื่อยมาตั้งแต่สมัย 5 สาว The Five Ladies Fendi มีแต่คำว่าเรา ไม่มีเรื่องของตัวคนคนเดียว ทว่าถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง คุณอาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อย เพราะคุณจะตั้งคำถามว่า ‘แล้วคุณเป็นตัวคุณเองหรือคุณเป็นใครกันแน่?’ ใช่ค่ะ คือตัวฉันเองนั่นแหละ แต่ฉันอยากจะตอบว่าเรามากกว่า ฉันชอบที่จะทำตัวสนิทแนบแน่นกับทีม มันเป็นสิ่งที่สวยงามและเต็มไปด้วยคุณค่า สตูดิโอฝ่ายสร้างสรรค์จะเปิดประตูค้างไว้ตลอด คุณเห็นไหมคะ? จากตรงนี้ฉันเลยเหมือนอยู่ในอะควาเรียม แล้วตัวฉันเองจริงๆ แล้วก็นั่งทำงานร่วมกับคนอื่นที่โต๊ะใหญ่มากกว่าในห้องนี้เสียอีก ฉันชอบที่ทุกคนสามารถพูดในสิ่งที่คิดออกมาได้ แล้วก็จะมีสักคนในนั้นพูดออกมาว่า ‘อื้ม โอเค มันน่าจะเป็นแบบนั้นแหละ’

ELLE: คุณคิดว่าความยากลำบากที่ดีไซเนอร์ในทุกวันนี้ต้องเผชิญคืออะไร?

S.V.F: ทุกวันนี้การจะประสบความสำเร็จไปถึงฝั่งฝันนั้นยากขึ้น ยิ่งมีคนที่สนใจในเรื่องแฟชั่นที่เป็นดั่งภาษาสากลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าใครก็ชอบคิดว่าจะไปถึงเส้นชัยได้และมีแต่ความสุขสมหวัง ไม่แต่จะนำมาซึ่งความมั่งคั่งร่ำรวยแต่ยังได้แสดงถึงอิทธิพลในวงการ ดังนั้น ความสำคัญคือการหมั่นฝึกฝน ทำให้คนเข้าใจว่าแค่การสื่อสารออกไปนั้นไม่พอ คุณต้องทุ่มเททั้งตัวลงไปในงานนั้นๆ อุทิศตัวเอง มองหาสิ่งแปลกใหม่ คุณอาจจะทำผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ลองทำดูใหม่ ทุกวันนี้เราไม่แม้แต่จะให้เวลาตัวเองได้ลองผิดลองถูก ฉันว่ามันเหนื่อยยากอยู่นะ

ELLE: กระเป๋ารุ่น Baguette ที่เกิดขึ้นมา และยังอยู่ในวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันนั้น บางคนถึงกับพูดว่า ‘การได้เห็นกระเป๋ารุ่นนี้ทำให้ฉันได้มีช่วงเวลาแห่งความสุข’ มีเรื่องของความสุขอยู่ในคอลเล็กชั่นใหม่นี้ด้วยหรือเปล่า?

S.V.F: มันต้องมีอยู่หน่อยๆ อยู่แล้วค่ะเพราะว่าฉันได้ขลุกอยู่กับมันจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่ยังสองจิตสองใจในการหาข้อสรุป ตามที่ฉันรู้สึกนะคะ ฉันว่าฉันฟังเสียงตัวเองมากเสียจนไม่พอใจเสียที ฉันชอบเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลยและเหมือนกับว่าจะไม่พึงพอใจอะไรง่ายๆ นั่นคงตราบจนวันตายฉันเลยละมั้ง ในวันก่อนโชว์จริง โดยเฉพาะในช่วงเย็น ฉันมักจะปลีกวิเวกมานั่งคิดทบทวนแล้วพูดกับตัวเองว่า ‘ถ้าเกิดฉันทำแบบนั้นจะดีกว่าไหมนะ…’ ด้วยความไม่พึงพอใจอะไรง่ายๆ มันเหมือนกับว่าได้ข้ามผ่านสู่อะไรใหม่ๆ เกิดเป็นอะไรที่ไม่ได้รวมอยู่ในคอลเล็กชั่นตั้งแต่แรก แล้วหลังจากนั้นคุณจะใส่ไอเดียลงไปในคอลเล็กชั่นถัดไป หรือบางทีถ้าในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนโชว์จะเริ่มขึ้น ถ้าเกิดมีเวลาสักหน่อย ฉันมักจะเปลี่ยนใจกะทันหัน กลัวว่าตัวเองจะโอเคไปกับทุกอย่างเสียหมด อยากเอาตัวเองไปอยู่ตรงกลางมากกว่า ชอบนึกถึงอะไรที่คุณไม่เคยทำมาก่อน แล้วหากวันหนึ่งคุณได้ทำสิ่งนั้นนั่นเป็นเพราะชีวิตคุณพัฒนาไปอีกขั้น คนเราไม่ควรยุดนิ่งอยู่กับที่ แต่ถ้าหากพูดถึงเรื่อง ‘คุณค่า’ สิ่งนั้นควรยังคงอยู่ ไม่ควรหายไปไหน แต่เราจำเป็นต้องตีความคุณค่านั้นใหม่ให้เข้ากับช่วงเวลาตามยุคสมัย

ELLE: แล้วอะไรคือคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับแฟชั่นในทุกวันนี้?

S.V.F: แฟชั่นนำมาซึ่งความสำนึกรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ยิ่งปัจจุบันที่ความฉาบฉวยตื้นเขินถูกพบเห็นได้เต็มไปหมด มันง่ายกว่าที่จะนำเสนอประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ แล้วพยายามซุกซ่อนมันไว้และถ่ายทอดมันออกไปในแบบที่ผ่อนคลายมากขึ้น ฉันเชื่อว่าแฟชั่นก็เหมือนเสียงดนตรี เราสามารถสื่อสารได้โดยไม่ต้องใช้ถ้อยคำ มันเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราถอดรหัสแห่งยุคสมัยได้ มันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่มันสามารถชี้นำชีวิตคนได้ เราประเมินแฟชั่นต่ำไปใช่ไหมคะ? แฟชั่นแสดงออกในหลากหลายบทบาท เมื่อเราพูดถึงแฟชั่นในภาพใหญ่  มันควรทำให้เราคาดการณ์ช่วงเวลาหรือสะท้อนชั่วขณะที่คุณใช้ชีวิตอยู่ได้ ถือเป็นสูตรเล่นแร่แปรธาตุที่ทำให้คุณรู้สึกปลอดภัย รวมถึงนำมาซึ่งการสงสัยใคร่รู้ ความคิดคำนึง และแรงปรารถนาถึงสิ่งที่ต้องเจอในภายภาคหน้า ในขั้นตอนของการสร้างสรรค์ผลงานมักเต็มไปด้วยความไม่เห็นพ้องต้องกัน เต็มไปด้วยคำถามที่เราเพียรถามตัวเองอยู่ตลอดแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงวัยที่ล่วงเลย

กระเป๋ารุ่นไอคอน Baguette ที่ริเริ่มปี 1997 ได้รับการพัฒนาต่อยอดเรื่อยมาในแต่ละซีซั่น (ในภาพคือกระเป๋าจากปี 2022 ผ่านการรังสรรค์จากกลุ่มช่างฝีมือในแถบ Marche ของประเทศอิตาลี โดยเป็นส่วนหนึ่งในโปรเจ็กต์สนับสนุนผุ้มีความสามารถพิเศษ)

ELLE: มีงานอาร์ตใดที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้บ้าง?

S.V.F: Blade Runner เป็นหนังที่กระตุ้นฉันได้เสมอแม้ในทุกวันนี้ (แม้ขณะที่ซิลเวียพูดอยู่นี้ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยประกาย) ฉันมีภาพชัดเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้อยู่ในหัว จำได้ว่าตอนนั้นฉันอายุราว 20 ปีที่ได้ดูเรื่องนี้ครั้งแรก มันเป็นหนังที่ฉันยังคงโปรดปรานทั้งในเรื่องของคอสตูม ซาวนด์ดนตรี รวมถึงงานภาพที่แสดงถึงหายนะและความโรมานซ์ไว้ได้ในขณะเดียวกัน ถือเป็นหนังเรื่องหนึ่งในใจ เรียกได้ว่าตรงจริตฉันที่สุด

ELLE: เราจะเข้าใจถึงคอลเล็กชั่นนี้อย่างไรได้บ้าง เมื่อเวลาผ่านไป?

S.V.F: คอลเล็กชั่นนี้คงเข้าไปอยู่ในส่วนหนึ่งของอาร์ไคฟ์ และเมื่อเวลาผ่านไปเราคงเข้าใจอะไรเพิ่มอีกได้มาก หากได้มองเทียบดูกับบางคอลเล็กชั่นอื่นๆ สำหรับสตรีที่ฉันเคยทำ ฉังคงปล่อยให้ผู้คนทำความเข้าใจกับคอลเล็กชั่นนั้นเอง และให้รู้สึกเองว่ามันส่งผลอย่างไรกับพวกเขา เพราะการตีความก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกส่วนบุคคลด้วย มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เสื้อผ้า ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน ถ้าฉันเพิ่มเติมอะไรลงไปอีกล่ะ? จนวินาทีสุดท้ายของคืนก่อนหน้าจะมีโชว์ ยิ่งใกล้ช่วงเวลาที่โชว์จะเริ่มเท่าไร อะดรีนาลินก็จะหลั่งไหลมากขึ้นเท่านั้น แล้วบางทีก็มีหลายช่วงเวลาที่รู้สึกดาวน์บ้างเหมือนกัน ประมาณว่าช่วงปลายกระโปรงทำไมไม่เป็นแบบนั้นแบบนี้ ดราม่าหน่อยๆ

ELLE: เกิดอะดรีนาลินในแบบตอนดู Blade Runner อะไรแบบนั้นสักหน่อยหรือเปล่า?

S.V.F: ใช่ค่ะ มันจำเป็นเลยละ

Latest Posts

Don't Miss