Friday, October 3, 2025

สึนามิ ฝนแล้ง น้ำท่วม ไฟป่า ฮีตเวฟ สารพัดสภาพอากาศสุดขั้วทำให้โลกแปรปรวน-โลกแฟชั่นรวนเร  

รัฐทมิฬนาฑูทางตอนใต้ของประเทศอินเดียคือศูนย์กลางโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้านับพันแห่ง ในบรรดาแรงงานมากกว่า 10 ล้านคนส่วนใหญ่คือผู้หญิงที่อุทิศเวลาวันละ 8-10 ชั่วโมงหน้าจักรตัดเย็บเสื้อผ้าส่งให้กับแบรนด์ดังระดับโลก และเมื่อ Thivya Rakini เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานมาตรวจโรงงานแห่งหนึ่งได้ 2 ชั่วโมง เธอเป็นลมซบลงไปกับพื้นห้องที่วัดอุณหภูมิได้ 38.6 องศาเซลเซียส

ทิพยาโพสต์ประสบการณ์นี้ใน LinkedIn ซึ่งกลายเป็นไวรัลในทันที เมื่อเธอบรรยายว่าตัวเองใส่เสื้อผ้าค็อตตอนที่ระบายอากาศได้ดีเยี่ยม จิบน้ำบ่อยๆ ไม่ให้เจอภาวะขาดน้ำ กระนั้นเธอยังล้มตึงลงไปจูบพื้นเอาเสียดื้อๆ เพราะร่างกายไม่อาจทนกับอากาศร้อนจัดในโรงงานได้ ทว่าช่างเย็บผ้าที่นั่งคุดคู้หน้าจักรทั้งวันสวมยูนิฟอร์มผ้าใยสังเคราะห์ในห้องที่มีแต่พัดลม โดยมีผู้จัดการนั่งสอดส่องพวกนางอยู่ในห้องติดแอร์เย็นฉ่ำห่างออกไปไม่กี่เมตร

สภาพแวดล้อมในการทำงานอันไม่ปกติเช่นนี้พบได้เป็นปกติในแหล่งผลิตเสื้อผ้าของโลก จากอินเดีย บังกลาเทศ ปากีสถาน จนถึงเวียดนาม ซึ่งสถาบันแรงงานโลกของมหาวิทยาลัยคอร์แนลเผยข้อมูลว่า อุณหภูมิในโรงงานตัดเย็บเหล่านี้เพิ่มสูงขึ้น 42% ระหว่างปี 2020-2024 เมื่อเทียบกับช่วงปี 2005-2009 สหภาพยุโรปจึงผ่านกฎหมายใหม่ที่บังคับให้ผู้ผลิตสินค้าแฟชั่นต่างๆ อาทิ Inditex (บริษัทแม่ของ Zara), H&M และ Nike ต้องใส่ใจสภาพแวดล้อมในการทำงานของซัพพลายเออร์ ร้อนถึงแบรนด์ใหญ่เหล่านี้ต้องช่วยออกงบติดตั้งระบบทำความเย็นในโรงงานอีกที 

อุณหภูมิร้อนจัดเป็นเพียงหนึ่งในสภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) ที่เวียนมาพบเจอถี่ขึ้นทั่วทุกมุมโลก จากแผ่นดินไหว 8.8 ริกเตอร์ที่รัสเซีย ส่งผลให้เกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นและฮาวาย ไฟป่าครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเกือบ 80 ปีทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่เผาผลาญพื้นที่ขนาดใหญ่กว่ากรุงปารีส น้ำป่าไหลหลากในมณฑลกานซู ประเทศจีน ซึ่งคนในพื้นที่รายงานว่าเห็นหินก้อนใหญ่เท่าเตียงไหลตามน้ำ ปรากฏการณ์เมฆระเบิดในรัฐอุตตราขัณฑ์ อินเดีย จนทำให้ฝนตกหนักและดินถล่ม ส่วนฮ่องกงเจอพายุฝนระดับสีดำซึ่งหมายถึงฝนที่ตกเกิน 70 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ฝนปริมาณมหาศาลที่สุดในรอบ 141 ปี ถล่มใส่เกาะเล็กๆ แห่งนี้อย่างบ้าคลั่ง ฯลฯ

สภาพอากาศสุดขั้วอันเป็นผลจากวิกฤต ‘โลกร้อน’ ที่ยกระดับเป็น ‘โลกเดือด’ เมื่ออุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่สามารถควบคุมได้ ส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นไล่เรียงกันมาตั้งแต่ต้นน้ำ อาณาจักรแบรนด์หรูจาก LVMH และ Chanel เจอวิกฤตขาดแคลนวัตถุดิบคุณภาพดีที่คิดเป็น 80% ของสินค้าแฟชั่นทั้งหมด (อาทิ น้ำท่วมใหญ่ในปี 2022 ที่ปากีสถานทำให้ค็อตตอนหายวับไปเลยถึง 40%) ส่วนน้ำแล้งทำให้ฟาร์มเลี้ยงแกะในนิวซีแลนด์ต้องลดจำนวนแกะลงมากกว่าครึ่งซึ่งหมายถึงปริมาณขนและหนังแกะที่ลดฮวบฮาบ 

ช่างเย็บผ้าในโรงงานยังคงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปแม้อากาศร้อนจัด แต่เสื้อผ้าจากแรงงานของพวกเธออาจเข้าหน้าร้านไม่ทันเพราะเจอน้ำท่วม หรืออาจเจอภัยธรรมชาติอะไรสักอย่างจนขนส่งวัตถุดิบไม่ได้ไปเลยตั้งแต่แรก ขณะที่ผู้บริโภคที่อยู่ปลายน้ำก็ไม่อาจเดาได้ว่าวันไหนแดดจะแรงหรือฝนจะตก เมื่อฤดูกาลไม่ได้เป็นไปตามปฏิทินเดิมอีกแล้ว ส่งผลให้คนชะลอการซื้อหรือไม่ซื้ออะไรเสียเลยตามรายงานของ Planalytics  

นอกจากข้อบังคับให้ปรับสภาพแวดล้อมในการทำงานของซัพพลายเออร์แล้ว (ซึ่งมีเพียง 3 บริษัทที่นำไปเป็นนโยบายที่ต้องทำ ได้แก่ Nike, Levi’s และ VF Corp (บริษัทแม่ของ Kipling, The North Face, Timberland, Vans ฯลฯ)) ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์ความเสี่ยงทางสภาพอากาศที่ช่วยให้แบรนด์และห้างร้านต่างๆ ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันท่วงทีที่เมฆฝนทะมึนมาหรือส่อเค้าว่าแผ่นดินจะไหว ส่วน Google จับมือกับ WWF ทำแพลตฟอร์มเสิร์ชหาวัตถุดิบธรรมชาติยั่งยืน ‘Global Fibre Impact Explorer’ โดยมี Stella McCartney นำธงทดลองใช้แพลตฟอร์มนี้เป็นแบรนด์แรกของโลก

แผนรับมือระยะสั้นเหล่านี้ทำควบคู่ไปกับแผนระยะยาวอย่างการทำแฟชั่นยั่งยืนตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น ฟาร์มค็อตตอนออร์แกนิกในอังกฤษที่ใช้เทคโนโลยีในการปลูกช่วยลดทรัพยากรและเพิ่มผลผลิตได้ถึง 50% ตามข้อมูลของสมาคมดินแห่งสหราชอาณาจักร ไปจนถึง Kering ที่เข้าไปช่วยเหลือคนเลี้ยงสัตว์ในทะเลทรายโกบีที่มองโกเลียให้ฟื้นฟูทุ่งหญ้าตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นแหล่งอาหารสัตว์ที่สำคัญด้วยระบบเกษตรกรรมฟื้นฟูที่เน้นสุขภาวะของดินอย่างยั่งยืน โดยเป็นโครงการที่ทำมาแล้ว 7 ปี แม้ต้องอดทนรอนานกว่าจะเห็นผล แต่เมื่อถึงเวลานั้นทุกฝ่ายทั้งธรรมชาติ-คน-อุตสาหกรรมล้วน Win-Win

TEXT: SUPHAKDIPA POOLSAP

Latest Posts

Don't Miss