เป็นอีกหนึ่งความสูญเสียที่น่าเศร้ากับการจากไปของ Jane Birkin นักร้อง นักแสดง แฟชั่นไอคอน และผู้เป็นแรงบันดาลใจให้กับกระเป๋า Hermès รุ่น Birkin สัญลักษณ์ของความหรูหราที่ใครหลายคนต้องการครอบครอง แน่นอนว่าด้วยชื่อกระเป๋าอาจจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนรู้จักเธอจากมัน แต่เรื่องราวของเจนและสิ่งที่เธอได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อทั้งวงการภาพยนตร์ เพลง และแฟชั่นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน แอลได้สรุป 3 สิ่งเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตของเธอเพื่อให้ทุกคนได้ทำความรู้จัก Jane Birkin อีกครั้ง พร้อมทั้งเป็นการทรีบิวต์ให้แก่ความไอคอนิกของหญิงผู้เป็นตำนานคนนี้
1. “The Blonde” in movies
แม้ว่า Jane จะเป็นชาวอังกฤษที่เกิดในลอนดอน แต่เธอได้ไปเริ่มต้นชีวิตนักแสดงที่ประเทศฝรั่งเศส โดยภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอคือ Blowup (1966) ซึ่งก็เป็นงานของผู้กำกับอิตาเลียนชื่อดังอย่าง Michelangelo Antonioni แม้เป็นเพียงบทบาทเล็กๆ ที่ได้ใส่ชื่อใน end credit เพียงแค่ The Blonde แต่เธอก็ได้รับความสนใจจากบทนั้น สามปีต่อมา Jane ได้รับบทนำใน Slogan (1969) แม้ว่าในตอนที่ไปออดิชั่นเธอจะพูดภาษาฝรั่งเศสไม่ได้เลยก็ตาม ซึ่งก็เป็นตอนที่เธอได้พบกับ Serge Gainsbourg นักแสดงที่มารับบทคู่กันในเรื่อง ทั้งสองเริ่มคบกันและได้ร่วมทำเพลงด้วยกันซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นในวงการเพลงของเธอด้วย แต่ภาพยนตร์ที่ทำให้เธอได้ใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศสต่อคือเรื่อง La Piscine (1969) เพราะหลังจากถ่ายทำ Slogan นั้นเธอก็เตรียมตัวจะกลับอังกฤษอยู่แล้ว เธอยังบอกต่ออีกว่า สำเนียงบริทิชเวลาที่เธอพูดภาษาฝรั่งเศสก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ทำให้เธอได้มีอาชีพในตอนนั้น เพราะคนฝรั่งเศสมองว่ามันมีเสน่ห์
2. Je T’Aime… a banned song
ต่อเนื่องจากการเจอและคบกันของ Jane กับ Serge Gainsbourg ทั้งสองได้ปล่อยเพลง Je T’Aime… Moi Non Plus. (I love you… Me neither.) ในปี 1969 ที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากด้วยเนื้อหาเพลงที่พูดถึงเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา เพลงนี้ยังถูกแบนในหลายประเทศและในช่องโทรทัศน์ของบีบีซี และยังถูกประณามโดยรัฐวาติกันอีกด้วย แม้ทั้งสองจะแยกทางกันในปี 1980 และจนเขาเสียชีวิตในปี 1991 เธอก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อบทเพลงของเขาด้วยการปล่อยเพลงเวอร์ชันคัฟเวอร์ ของ Serge หรือเป็นเวอร์ชันที่เรียบเรียงใหม่ในเวอร์ชันออร์เคสตรา แต่สุดท้ายเธอก็หนีออกมาจากเงาของเขาได้ด้วยการปล่อยอัลบั้มของตัวเอง Enfants d’hiver (2008) ที่เธอเขียนเนื้อร้องเองด้วย ตามด้วย Oh! Pardon tu dormais … (2020) ซึ่งทั้งสองอัลบั้มนี้ก็ได้เล่าเรื่องราวของชีวิตเธอได้ดีทีเดียว
3. Icon of 60s-70s Fashion
Jane Birkin ในฐานะแฟชั่นไอคอนเองก็เรียกได้ว่าโดดเด่นไม่ต่างกับ Jane ในฐานะอื่นๆ โดยอย่างแรกคือสไตล์ของเธอที่แตกต่างจากดาราผู้มีชื่อเสียงในสมัยนั้น เธอเลือกใส่เสื้อผ้าที่ดูเป็น everyday wear แต่กลับทำให้มันดูดีได้อย่างไม่น่าเชื่อ แว่นตาขนาดใหญ่ที่เธอชอบใส่ก็กลายเป็นลุคซิกเนเจอร์ของเธอ และตะกร้าหิ้วที่ติดมือเธอตลอดเวลาก็ติดเป็นภาพจำจนเธอได้เปลี่ยนมาถือกระเป๋า Birkin นี่เอง
ซึ่งเรื่องราวการที่มาของกระเป๋า Birkin นี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากการเจอกันโดยบังเอิญของเธอกับ Jean-Louis Dumas หัวหน้าดีไซเนอร์ในตอนนั้น (และเป็นผู้บริหารระดับสูงในเวลาถัดมา) โดยกระเป๋า/ตะกร้าที่เธอใช้ใส่ของนั้นมันได้ล้มลงและของที่อยู่ข้างในก็กระจายออก ผู้ชายที่นั่งข้างเธอพูดออกมาว่า “เธอน่าจะใช้กระเป๋าที่มีช่องใส่ของเยอะๆ นะ” Jane ตอบเขากลับไปว่า “แล้วเธอจะทำอย่างไร ในเมื่อ Hermès ไม่ทำกระเป๋าที่มีช่องเยอะๆ นี่” ผู้ชายคนนั้นตอบกลับมาว่า “ฉันนี่แหละ Hermès” ซึ่งก็ทำให้เธอได้รู้ความจริงว่าผู้ชายคนที่นั่งข้างเธอนั่นแหละคือ Jean-Louis Dumas เขาจึงขอให้เธอวาดกระเป๋าแบบที่เธอต้องการให้ดู ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเอง กระเป๋าแบบที่ Jane ออกแบบก็ได้ถูกปล่อยออกมาขาย โดยเขาขอใช้ชื่อ Birkin และให้กระเป๋าเธอไปใช้ในฐานะคำขอบคุณ
และแม้ว่ากระเป๋า Birkin ที่ริเริ่มจากไอเดียของ Jane ที่อยากได้กระเป๋าที่จะสามารถจุของเธอได้เพียงพอ มันกลับกลายเป็นกระเป๋าแบรนด์ราคาแพงที่คนส่วนใหญ่ที่ใช้ก็ใช้มันเหมือนเป็นเครื่องประดับเสริมฐานะมากกว่ากระเป๋าเพื่อการใส่ของ แน่นอนว่าก็ไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับวิธีการเลือกใช้ของใคร แต่หากได้ใช้กระเป๋า Birkin ได้แบบที่เจ้าตัว Birkin ต้องการให้มันเป็นก็คงจะเจ๋งไม่น้อย
การที่ Jane จะมาถึงจุดนี้ได้ แท้จริงแล้วก็มาจากการที่เธอเป็นตัวของเธอเอง ไม่ว่าจะสำเนียงการพูดที่เธอยังคงความเป็นชาวอังกฤษอยู่ ความฝันที่อยากจะอยู่ในวงการภาพยนตร์และทำมันให้ดี รวมถึงการแสดงออกทางการแต่งตัวที่ได้สร้างความประทับใจให้กับคนมากมายจากตัวตนของเธอเอง Jane Birkin จึงนับเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่น่าจดจำแม้ในวันที่เธอจากไป แอลขอแสดงความเสียใจอีกครั้ง
Text: PRYFHA WANNAMAETHANGKOON