ในฐานะอาร์ทิสติก ไดเร็กเตอร์คอลเล็กชั่นสำหรับสตรีของ Louis Vuitton วันนี้ Nicolas Ghesquière ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลในโลกแฟชั่น กับเวลา 11 ปีที่รับหน้าที่กุมบังเหียน ณ เมซงแห่งนี้ ดูเหมือนว่าเขายังมีเวลาเพื่อค้นหาความลักชัวรี่ที่เที่ยงแท้ซึ่งนั่นก็คือการดำรงอยู่เพื่อท้าทายกาลเวลา แอลร่วมพูดคุยกับเขาถึงการสร้างพลังเพื่อลงสู่เกมแห่งงานออกแบบที่หนทางยังอีกยาวไกล

เป็นอีกครั้งที่วงการแฟชั่นโลกสั่นสะเทือน เกิดข่าวลือหนาหูในหมู่สื่อมวลชน สไตลิสต์ ช่างภาพ และโมเดลผู้ทรงอิทธิพลที่สุดว่า การที่แบรนด์ระดับเมเจอร์มีการผลัดใบดีไซเนอร์ที่ครองบัลลังก์มาอย่างยาวนานจะทาบทามใครมาแทนที่ โยงใยไปถึงที่ฟรอนต์โรว์ภายในโชว์สู่ที่นั่งตำแหน่งอื่นทั่วทั้งรันเวย์ของ Louis Vuitton Spring/Summer 2025 ที่เป็นโอกาสครบรอบ 10 ปีพอดิบพอดีของ Nicolas Ghesquière ในฐานะผู้กุมบังเหียนหลักฝั่งเสื้อผ้าสตรี โดยต่างคาดเดาว่านี่จะเป็นการสั่งลาหรือไม่
ภาพที่เห็นคือหลากลุคทรงพลังที่เหล่าโมเดลสวมใส่ ผสมผสานเทียบเท่ากันระหว่างแนวฟิวเจอริสติกและการโหยหาอดีต ทั้งหมดต่างเดินทยอยกันออกมาบนรันเวย์ยกสูงที่เอาทรังก์มาต่อกันอย่างกับก้อนอิฐในเกม Minecraft โดยรันเวย์คราวนี้ต่างออกไปตรงที่ว่าถูกจัดวางไว้ตรงกลางเด่นตระหง่าน ต่างจากคราวก่อนๆ ที่จะเป็นแนวคดเคี้ยวไปมา คราวนี้คือการหมายให้เหล่านางแบบเดินไปตรงไปข้างหน้าประหนึ่งว่าเดินเข้าหาอนาคต อนาคตที่เต็มไปด้วยแจ็กเกตบุนวมแต่งแต้มดีเทลแบบศตวรรษที่ 16 เบลาส์ที่ช่วงแขนพองฟูฟ่อง งานปักประดับให้อารมณ์แบบหนังไซ-ไฟ กางเกงขาสั้นไบเกอร์ คือการผสมเข้าด้วยกันของชิ้นงานหลากหลายรูปแบบในซีซั่นเดียว ขณะที่วงการแฟชั่นต่างมองว่าหรือนี่เป็นการปล่อยจอยทิ้งทวน

พอช่วงสุดท้ายของโชว์มาถึง ท็อปเกสต์โยกย้ายร่างกายไปพร้อมกับแสดงทีท่ายินดีตอนฟินาเล่ที่เพลงของ Jamie XX ดังก้องขึ้น นิโคลาส์ ครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์หนึ่งในตัวพ่อของวงการก็ปรากฏกายเพื่อโค้งตอบรับ
เมื่อเราเจอกับเขาอีกครั้งในสัปดาห์ถัดมา ตอนนั้นเขานั่งอยู่ภายใน Salon Gramont ของโรงแรม Ritz Paris ส่งยิ้มที่แฝงไว้ด้วยความสงบและเป็นมิตรให้ ท่ามกลางบรรดาข้าวของประดับตกแต่งต่างยุคระดับมาสเตอร์พีซบนผนังที่เหมือนส่งสายตามองมายังตัวเขา นิโคลาส์ถือเป็นหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลสายสร้างสรรค์ร่วมก๊วนบุคคลอย่าง Marcel Proust และ Ernest Hemingway ผู้แวะเวียนมาใช้โรงแรมอายุเก่าแก่กว่า 127 ปีนี้เป็นดั่งเหมือนบ้านอีกหลัง
“คุณรู้ไหม ตอนผมอายุประมาณ 15 หรือ 16 นี่ละ มีเพื่อนที่โตกว่าผมคนหนึ่งชวนผมมาที่โรงแรมนี้เพื่อเลี้ยงแชมเปญเนื่องในวันเกิดของผม” นิโคลาส์เล่ารำลึกความหลัง “แต่การณ์กลับเป็นว่าผมโดนปฏิเสธไม่ให้เข้าเพราะว่าผมใส่รองเท้าสนีกเกอร์ แมตช์กับชุดสูทลายทาง pinstripe มันเท่จะตายนะผมว่า พอนึกย้อนกลับไปตอนนั้นก็ขำดี” เขาสาธยายพลางหัวเราะออกมา พร้อมกับมองไปที่เท้าของตัวเอง ซึ่งเราก็ต้องประหลาดใจเพราะคราวนี้เขาใส่รองเท้าผ้าใบ Nike สีดำมา!
ต่างกันที่ตอนนี้เขาไม่ใช่วัยรุ่นวัยใสอีกต่อไป มาที่ปารีสเพื่อตามหาแรงบันดาลใจอันไม่รู้จบจนกลายเป็นชายหนุ่มผู้เข้าครองฝ่ายสร้างสรรค์ของแบรนด์ลักชัวรี่สุดยิ่งใหญ่และเป็นที่จดจำมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของโลก
“ผมรู้สึกว่าช่วงเวลา 15 ปีของตอนนี้เหมือนอย่างกับ 50 ปีเลยครับ”
ตอนนี้เขาดำรงตำแหน่งมายาวนานถึง 11 ปีแล้ว และอย่างน้อยก็จะอยู่ต่อไปอีก 4 ปี (ทาง Louis Vuitton เพิ่งต่อสัญญากับเขาไปในปี 2023) ซึ่งถือเป็นเคสตัวอย่างอันหาได้ยากยิ่งกับการได้การันตีตำแหน่งรูปแบบนี้ในแฟชั่นเฮาส์ขนาดใหญ่ “ผมรู้สึกว่าช่วงเวลา 15 ปีของตอนนี้เหมือนอย่างกับ 50 ปีเลยครับ คนพูดกันว่า ‘โถ Karl (Lagerfeld) ยังทำได้เลย’ แต่คาร์ลอยู่ที่ Fendi มาตั้ง 54 ปีนะครับ ทุกวันนี้การจะอยู่ที่ไหนนานถึง 15 ปีมันคงดูยิ่งใหญ่มาก” นิโคลาส์ให้ความเห็น

ภาระอันหนักอึ้งทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด หากยิ่งเติมเชื้อไฟให้เขามีเป้าหมายและช่วยสร้างความหมายให้กับโชว์แต่ละครั้ง “โลกของเรามันวุ่นวายซับซ้อนเหลือเกินครับ ผมคิดว่าทุกคนมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวมากมายเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รอบตัว ด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราจำต้องมีอะไรที่ดูเป็นการสื่อถึงแนวคิดด้านบวก และแฟชั่นก็ตอบสนองจุดนั้นได้ หากคุณสอดแทรกความผ่อนคลายสักนิดลงไปในสิ่งที่คุณทำ โดยนำมาซึ่งความเพลิดเพลินเจริญใจด้วย ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง” ดีไซเนอร์หนุ่มอธิบาย “ในโชว์บางครั้งก็ค่อนไปทางคอนเซ็ปชวลหน่อย ไม่ก็ค่อนไปทางดรามาติก พอมาในคราวนี้เราอยากประมาณว่า ‘ลองมาทำอะไรที่สื่อถึงช่วงเวลาแห่งความสุขสัก 15 นาทีกันดีไหม’”
“แนวคิดเชิงบวกยังหมายถึงการได้แบ่งปัน ผมว่ามันสำคัญมากนะสำหรับคนดูในโชว์ที่จะได้เห็นสิ่งเดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน ผมอยากได้ความรู้สึกร่วมที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” เขากล่าวเสริม “นี่คือสิ่งที่เราอยากสื่อออกไปในโอกาสครบรอบของผมครั้งนี้ มันเป็นการเฉลิมฉลองให้กับเรื่องของสไตล์และเรื่องของประวัติศาสตร์สั่งสมอันน่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”
เรื่องราวบอกเล่าผ่านมุมมองของนิโคลาส์มักเกี่ยวกับเรื่องของเวลา นั่นยังรวมหมายถึงความติดตรึงใจความสัมพันธ์ และการอาจหาญท้าทายของเขาต่อห้วงเวลานั้นๆ ด้วย (มีสื่อรายหนึ่งให้ความเห็นว่าในวัย 53 แล้ว เขายังคงแต่งตัวในลุคบอยๆ ในขณะที่ยังแสดงออกถึงเสน่ห์ตามช่วงวัยของเขาออกมาด้วย)
ชิ้นงานสร้างสรรค์ของเขาปรากฏสู่สายตาผ่านที่ Balenciaga ด้วยระยะเวลาถึง 15 ปี (เขารั้งตำแหน่งที่นั่นตอนอายุ 25) โดยเต็มไปด้วยความรักของเขาที่มีต่อนวนิยายเชิงวิทยาศาสตร์และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ในปริมาณพอๆ กัน ด้วยแนวทางความสนใจแบบนี้ที่อยู่นอกเหนือเรื่องราวแฟชั่นล้วนๆ เลยเป็นเหมือนเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งในสายอาชีพของเขาในยุคที่การเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ช่วยให้เขาสามารถปรับตัวและเสริมสร้างจินตนาการ ได้เรียนรู้จากอดีตอยู่เสมอ


“ช่วงเปลี่ยนผ่านของเวลาอันน่าสนใจนี้เองเกิดเป็นแรงบันดาลใจส่วนใหญ่ของผม โดยเฉพาะช่วงที่อยู่กับ Louis Vuitton” นิโคลาส์เผย “ผมอินไปกับการคาดเดาล่วงหน้า ไปกับการมองมุ่งไปในอนาคต โลกไซไฟเลยเป็นสิ่งกระตุ้นสำคัญสำหรับผม”
ความหลงใหลนั้นสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ มาตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเขาเริ่มจากเรื่องราวสุดคลาสสิกอย่าง Dr. Strange ของ Marvel (“ผมจำได้ว่าเคยนั่งวาดชุดใหม่ให้เรื่องนี้ลงบนหนังสือเรียน”) และนิยายของ Jules Verne อย่าง Journeys to the Centre of the Earth ต่อมาเขายังอินไปกับภาพยนตร์ด้วยเช่นกันอย่าง 2001: A Space Odyssey, Close Encounters of the Third Kind, Replay และ Alien
“มันวิเศษมากครับ เพราะว่าต้องมีเรื่องสุดเหลือเชื่อเกิดขึ้นเสมอในเรื่องราวไซไฟ สิ่งนั้นสร้างแรงบันดาลใจได้มาก ไม่ว่าจะด้วยพลังเหนือธรรมชาติ หรือการวิวัฒน์ล้ำหน้าของโลก อีกอย่างที่ผมอยากเสริมการนำเสนอตัวละครผู้หญิงในเรื่องราวไซไฟมักสะท้อนความแข็งแกร่งออกมา ทุกครั้งที่ดูหนังหรือนิยายเหล่านั้นผมมักคิดเสมอว่า ‘หากต้องตีความคาแร็กเตอร์นั้นมันจะออกมาในรูปแบบไหนกันนะ?’”

โลกล้ำยุคเหนือจินตนาการช่วยเพิ่มพูนมุมมองที่กว้างขึ้นให้กับนิโคลาส์ผู้เติบโตใน Comines (โกมินส์) เมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ที่ซึ่งพ่อของเขาทำหน้าที่ดูแลคอร์สฝึกสอนการเล่นกอล์ฟ ส่วนแม่นั้นเป็นผู้จุดชนวนความชื่นชอบเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้กับเขา โลกแห่งไซไฟยังมีส่วนช่วยลับความเฉียบคมให้กับเขาในวัยเด็กซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องตามปกติวิสัย “ผมเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกอยู่แล้ว” นิโคลาส์อธิบาย “ผมเติบโตในเมืองที่เล็กมากๆ โอกาสในการเห็นโลกในมุมมองที่กว้างขึ้นนั้นเป็นไปแทบไม่ได้เลย ต้องอาศัยการเห็นผ่านทางแมกกาซีน ทีวี และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือผ่านทางแม่ของผม ผมเชื่อว่าต้นเหตุหนึ่งของความชื่นชอบในเรื่องแฟชั่นเกิดขึ้นเมื่อตอนที่ผมเริ่มเข้าใจว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการทำเสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้า จำได้ว่าตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 11 ขวบ เริ่มรู้ทิศทางที่ชัดเจนขึ้นแล้วว่าจะเอาตัวไปไว้ที่ตรงไหน”
3 ปีต่อมา นิโคลาส์เริ่มฝึกงานครั้งแรกตอนอายุ 14 ขวบ “ถ้าเป็นตอนนี้คงผิดกฎหมายไปแล้วละครับ” เขากล่าวพลางหัวเราะออกมา “แต่ก่อนนั้นมันเป็นเรื่องปกติทั่วไปมาก” ทางฝั่งพ่อแม่ก็ให้การสนับสนุนเขาเต็มที่ เขาเลยมีประสบการณ์การทำงานกับแบรนด์ฝรั่งเศสร่วมสมัยอย่าง Agnès B และ Corinne Cobson ซึ่งทำให้เขาเริ่มมีความทะเยอทะยานมากขึ้น “พ่อแม่ของผมถามว่า ‘เธออยากทำอะไรอีกต่อจากนี้?’ ผมเลยบอกไปว่า ‘ผมอยากทำงานที่ Jean Paul Gaultier ขอสัญญาเลยว่าผมต้องได้งานที่นั่นให้ได้’ ผมอายุ 18 แล้วตอนนั้นในปี 1990 ช่วงที่เป็นจุดพีกของแบรนด์เลย ตัวฌอง ปอล โกลติเยร์เองออกแบบชุด คอสตูมให้กับ Madonna ในคอนเสิร์ต Blond Ambition Tour ด้วย และแน่นอนว่านิโคลาส์ได้งานในปีนั้น “ผมอยากขอบคุณ ฌอง ปอลเป็นอย่างมาก รวมถึงคนอื่นๆ ด้วยที่ช่วยทำฝันของผมให้เป็นจริง” เขาเผยความรู้สึก
“ทางกายภาพแล้ว ผมพยายามใช้ชีวิตให้ตรงจังหวะกับตารางแฟชั่นโชว์ในทุกๆ ครั้ง”
นิโคลาส์ เกสกิแยร์ เลยเริ่มจริงจังกับสายอาชีพในแบบที่เขาเรียกว่า ‘แฟชั่นอันมีชีวิต’ มากกว่าแค่เอาตัวไปอยู่ในโลกแฟชั่น “เขาเป็นบุคคลในแบบที่ดำรงชีวิตพร้อมลมหายใจเข้าออกอันเต็มไปด้วยใจรักในงานคราฟต์” Alicia Vikander เพื่อนสนิทพ่วงตำแหน่งแอมแบสซาเดอร์ของ Louis Vuitton กล่าวชื่นชม ด้วยเส้นทางของดีไซเนอร์จนถึงระดับนี้ นิโคลาส์เผยว่าวงจรชีวิตของตัวเองนั้นสอดคล้องไปกับปฏิทินแฟชั่นได้อย่างดี “ทางกายภาพแล้ว ผมพยายามใช้ชีวิตให้ตรงจังหวะกับตารางแฟชั่นโชว์ในทุกๆ ครั้ง ฟังแล้วอาจดูแปลกไปสักหน่อย แต่ผมเหมือนมีนาฬิกาตั้งเตือนอยู่ในตัว ผมรู้ว่าตัวเองจะปรับร่างกายอย่างไรก่อนโชว์จะเริ่มได้สัก 1 เดือน ผมรู้ว่าตัวเองจะเตรียมความพร้อมสำหรับโชว์ต่อไปยังไงด้วย” ดีไซเนอร์คนเก่งเผย
ทางเราเลยสงสัยใคร่รู้ว่าการปรับตัวนั้นมันเป็นอย่างไร “มันเหมือนกับการค้นลึกลงไปในตัวเอง” เขาตอบ “สำหรับคนอื่นอาจจะคิดว่ามันแปลกๆ แต่สำหรับผมแล้วเมื่อทำโชว์จบไปแล้วสักโชว์ ผมจะถามตัวเองประมาณว่า ‘ต้องทำอะไรต่อนะ? ตอนนี้ดีหรือยังนะ? จะทำอะไรใหม่ๆ ดี?’”
พลังสร้างสรรค์ที่ออกมาได้รับการส่งต่อผ่าน 4 คอลเล็กชั่นต่อปี ทั้งยังมีก้อนของแอ็กเซสเซอรี่ส์จำนวนมากมายอีก ด้วยวินัยและความเคร่งครัดประหนึ่งนักกีฬาของนิโคลาส์นั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะตัวเขาเองก็เล่นกีฬาหลากหลายอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการว่ายน้ำ ขี่ม้า หรือฟันดาบ ย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยยังเด็ก “การปรับสภาพจิตใจให้ติดระบบระเบียบมีความสำคัญมากสำหรับผม” เขากล่าวยอมรับ


นิโคลาส์บอกกับเราว่าการใช้ชีวิตและงานของเขามีเรื่องของความรู้สึก ของความหลงใหลมากกว่าอะไรทั้งปวงเสียอีก ตลอดช่วงบ่ายของการสัมภาษณ์ เขาสาธยายว่าช่วงเวลาในการทำงานให้กับ Louis Vuitton เป็นดั่ง ‘นิยายรักสุดยิ่งใหญ่’ ของผู้ที่ใช้เวลาหลายทศวรรษในการครองรักโดยอาศัยสติปัญญาอันชาญฉลาด “การจับอะไรมาแมตช์เข้าด้วยกันได้อย่างดีนั้นสำคัญครับ แฟชั่นเฮาส์ชั้นยอดกับคนทำงานผู้เปี่ยมไปด้วยความสามารถนั้นถือเป็นส่วนผสมที่ดีที่สุดแล้วเท่าที่จะเป็นไปได้ การแมตช์กันนั้นมันไม่ใช่แค่เรื่องของการทำสัญญาจ้างอันลงตัวระหว่างกันแล้วก็จบ มันมีเรื่องของสถานะทางอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย คุณต้องมีความรู้สึกร่วมไปกับแบรนด์นั้นๆ คุณต้องมีความคิดหวงแหนไม่อยากปล่อยให้หลุดมือไป ต้องเชื่อว่าหากได้ทำงานแล้วจะไม่หยุดอยู่ที่ 1 หรือ 2 ซีซั่น คุณต้องรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่านี่เป็นเสมือนรักแรกของคุณหรือไม่ หากความรักนั้นยังคงยืนยงอยู่นานได้ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วนั่นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว” เขาให้ความกระจ่าง
จากนั้นเราถามต่อว่าเขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกแฟชั่น ณ ปัจจุบัน เพราะเหมือนว่ามีแบรนด์กับดีไซเนอร์เลิกราหย่าร้างจากกันมากมายอยู่ “บางทีผมรู้สึกว่าเหล่าดีไซเนอร์หลายต่อหลายคนเหมือนตัวเองหมดประโยชน์ ผมเติบโตมาในช่วงที่อุตสาหกรรมนี้ให้เวลามากพอกับเราเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ผมเลยรู้สึกเสียใจนิดหน่อยกับอาร์ทิสติก ไดเร็กเตอร์คนอื่นๆ ที่ผ่านการตัดสินแบบเร่งด่วนเกินไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม ไม่ว่าใครก็ต้องการเวลาทั้งนั้นเพื่อสร้างการยอมรับขึ้นมา” นิโคลาส์แชร์ความเห็น
ตัวเขาเองก็เหมือนว่าจะประหลาดใจกับการผันแปรในวงการแฟชั่นนี้เช่นเดียวกับพวกเรา “เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในยุคคาวบอยบ้านป่าเมืองเถื่อน มันบ้าเอามากๆ บางครั้งเมื่อผมได้ยินข่าวผมต้องกลับมานั่งคิดว่า ‘ทำไมเราต้องคอยคิดว่าใครจะมารับช่วงต่อที่แบรนด์นั้นๆ ต่อไปในขณะที่คนเก่าเขายังไม่ทันพ้นตำแหน่งเลย” นิโคลาส์เปรยขึ้นมา “สำหรับเหล่าดีไซเนอร์มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากนะ นี่คือเรื่องจริง”

เขายอมรับว่าตัวเองโชคดีที่มีเวลามากพอในการสร้างความคุ้นเคยกับ Balenciaga และ Louis Vuitton ถือเป็นอภิสิทธิ์ที่หลายคนไม่ได้รับ ยิ่งเฉพาะตอนนี้ที่ตลาดลักชัวรี่มีมูลค่าลดลง 2% ซึ่งต่ำลงครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 เขากล่าวว่า “เมื่อคุณลงแรงใจแรงกายและไฟสร้างสรรค์ไปกับงานฝีมือที่ต้องอาศัยความประณีต ถือว่าคุณได้ทำให้งานนั้นมีอายุยืนยาวเหนือกาลเวลา”
นิโคลาส์ถูกมองในฐานะผู้ที่มีบุคลิกแสนผ่อนคลาย ในจุดที่เขานำพา Louis Vuitton เดินหน้าต่อไปพร้อมกับสถานะของแบรนด์ที่ไม่จำเป็นต้องทวีความยิ่งใหญ่ไปกว่านี้แล้ว (ในปี 2022 Louis Vuitton ถือเป็นแบรนด์แฟชั่นระดับสูงแบรนด์แรกที่ทำยอดจำหน่ายสูงเกิน 2 หมื่นล้านยูโร) วาระครบรอบของเขาตรงกับปีหมุดหมายสำคัญของเครือ LVMH ในโอกาสที่เป็นพาร์ตเนอร์หลักของมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส ลวดลายโมโนแกรมประจำเมซงมีให้เห็นเต็มไปหมดเช่นเดียวกับบรรดาเหรียญรางวัล (ไม่ว่าจะทอง เงิน หรือทองแดง ล้วนถูกใส่มาในถาดหนังสั่งทำพิเศษของแบรนด์) ช่วงเช้าตอนนั่งรถไฟ Eurostar มายังปารีสเพื่อการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ประเมินด้วยสายตายังนับผู้หญิงได้ถึงประมาณ 12 คนที่ใช้ผ้าพันคอ กระเป๋า หรือเสื้อผ้าของ Louis Vuitton

ความกดดันกับการที่จะต้องรักษาสมดุลเรื่องข้อเรียกร้องนานาจากกลุ่มผู้บริหารและเรื่องสรรหาแรงสร้างสรรค์ผลงานคงไม่สูงไม่กว่านี้แล้ว ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นว่าเขากระตือรือร้นเป็นพิเศษเมื่อเขาได้พูดถึงเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก ความรัก และหัวจิตหัวใจในการสร้างงาน
จากนั้นเราคุยกันถึงช่วงเวลาที่เขาภาคภูมิใจที่สุดซึ่งนั่นก็คือโชว์คอลเล็กชั่นครูสที่ซานดิเอโก โดยมีแบ็กกราวนด์เป็น Salk Institute for Biological Studies ในช่วงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน เป็นเหมือน “การบอกรัก” เขาเผย “สถาบันซอล์กเป็นศูนย์รวมนักวิทยาศาสตร์ผู้ซึ่งมองหาโลกที่ดีกว่าเดิม ที่นั่นมีสถาปัตยกรรมอันโดดเด่นมาก ผลลัพธ์ที่ได้คือการส่งสารอันงดงามออกมา”
เขาเล่าต่อว่าคอลเล็กชั่นครูสสำหรับนักท่องโลกเป็นส่วนที่เขาชอบมากที่สุดในเนื้องานทั้งหมด เนื่องด้วยเขาในฐานะดีไซเนอร์สามารถสร้างประสบการณ์แบบ immersive มากกว่าแค่เหล่าโมเดลสวมเสื้อผ้าเดินไปตามแคตวอล์ก จากคอนเซ็ปต์อันชัดเจนทำให้เขาสร้างชื่อให้ตัวเองได้อีกทางหนึ่งที่ Louis Vuitton เนรมิตประสบการณ์สุดพิเศษที่แลนด์มาร์กแห่งงานดีไซน์จาก Niteroí Contemporary Art Museum โดย Oscar Niemeyer ที่ริโอ เดอ จาเนโร ไปจนถึง Park Güell ระดับไอคอนนิกฝีมือ Antoni Gaudi ที่บาร์เซโลนา
“ผมจำได้ว่าในช่วงแรกๆ ของการทำงาน Delphine Arnault และ Bernard Arnault บอกกับผมว่า ‘เอาละ เรากำลังจะทำโชว์สำหรับคอลเล็กชั่นครูสกันนะ’ ซึ่งสิ่งนั้นอยู่ในสัญญาอยู่แล้วครับ ผมรู้ตัวเลยว่าจะต้องหาบางสิ่งบางอย่างที่มีความส่วนตัวไม่เหมือนใคร” นิโคลาส์อธิบาย เขาจึงนำเอาใจรักทางด้านงานสถาปัตยกรรมซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของเรื่องราวไซไฟมาปรับใช้ “ผมเลยตอบกลับไปว่า ‘โอเคครับ เราลองทำมันให้เหมือนเป็นการเดินทางดีไหม เป็นทริปท่องโลกกับ Louis Vuitton ผ่านงานสถาปัตยกรรม’ เพราะการท่องเที่ยวเป็นไปได้ในหลายรูปแบบ เราจึงดื่มด่ำไปกับมันได้มานับ 10 ปีแล้ว”
ช่วงหลายปีที่มีการล็อกดาวน์ นิโคลาส์ใช้เวลาไปมาระหว่างปารีสและแคลิฟอร์เนีย ที่ที่เขามีบ้านเพื่ออาศัยอยู่ร่วมกับพาร์ตเนอร์คู่ใจ Drew Kuhse “ผมชอบอยู่ที่แคลิฟอร์เนียครับ ด้วยช่องว่างความต่างของเวลาทำให้ผมมีโมเมนต์สุขสงบมากขึ้นอย่างการได้ดูหนังหลายต่อหลายเรื่อง อาจจะดูคลิเช่ไปหน่อยนะครับ แต่มันคือเรื่องจริง พออยู่ที่ปารีสผมไม่มีเวลาไปโรงหนังเลย ที่แคลิฟอร์เนียเราได้ทำสิ่งที่ควรทำด้วยกันได้” เขาเผยความในใจ “แต่ก็ถือว่าเราโชคดีแล้วที่ได้เดินทางบ่อย ได้พบเจอกับสถานที่ต่างๆ มากมาย อาจจะดูเหน็ดเหนื่อย แต่ก็เต็มไปด้วยประสบการณ์อันน่าจดจำ”

ชีวิตเนิบช้าที่แคลิฟอร์เนียมีส่วนกระตุ้นให้เขาอยากมีชีวิตหลุดพ้นจากแฟชั่นบ้างไหม? “บางครั้งผมก็ถามตัวเองว่า ‘ถ้าผมไม่ได้ทำงาน ณ จุดนี้ ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรนะ? หรือถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ถ้าผมเลือกที่จะหยุด ผมจะปรับตัวเข้ากับจังหวะชีวิตแบบใหม่ได้ไหม?’” เขาตอบประหนึ่งรำพึงรำพันกับตัวเองเนื่องจากยังไม่ได้คำตอบให้กับคำถามนั้น สิ่งที่แน่ชัดในตอนนี้คือเขามีความสุขดีทั้งในการใช้ชีวิตและในเรื่องรัก “ผมอยู่ในจุดที่ลงตัวแล้วตอนนี้” เขาย้ำชัดอย่างมั่นใจ
ถ้าไม่นับเรื่องความสัมพันธ์กับดรูว์ เขาได้ยกเครดิตให้กับกลุ่มสหายสนิทและเพื่อนร่วมงานที่ช่วยสร้างความสุขให้เขาด้วยเช่นกัน “ผมว่าตัวเองเป็นคนซื่อสัตย์นะ” เขาออกตัว ระหว่างคุยกันถึงกลุ่มหญิงสาวที่รู้จักกันมาเนิ่นนานนับ 10 ปีจนได้กลายมาเป็นแบรนด์แอมแบสซาเดอร์ให้กับแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นมิวส์ตลอดกาล Jennifer Connelly ผู้ซึ่งเขาออกแบบชุดสำหรับงานออสการ์ปี 2002 เป็นครั้งแรกให้ (เจนนิเฟอร์ชนะรางวัลสาขานักแสดงสบทบหญิงจากเรื่อง A Beautiful Mind) จนตอนนี้คงนึกภาพไม่ออกแล้วถึงงานพรมแดงที่ไม่มีชุดผ่านการออกแบบโดยเขาผู้นี้ “นิโคลาส์เป็นหนึ่งในดีไซเนอร์และศิลปินแห่งยุคน้อยคนที่ผลงานเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีพลังสร้างสรรค์ต่อไปได้ในแต่ละซีซั่น” อลิเซีย วิกันเดอร์กล่าวชื่นชม โดยเธอรับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสบทบหญิงในปี 2016 พร้อมชุดกระโปรงสีเหลืองนวลจาก Louis Vuitton “การได้ใส่ชุดของเขาทำให้ฉันรู้สึกมีพลัง ดูโมเดิร์น และมีความเฟมินิน มันสะท้อนความแข็งแกร่งและพลังงานในแบบเดียวกับผู้หญิงทุกคนที่ใส่ชุดของเขาอย่างไรอย่างนั้นเลย” เธอกล่าวเสริม
สิ่งที่อลิเซียกล่าวคือทักษะที่นิโคลาส์จำต้องลับฝีมือฝึกฝนมานานกว่า 30 ปี โดยมีลิสต์ของสตรีที่เขาแต่งตัวให้มากมาย ไล่ไปตั้งแต่มาดอนนา (“เธอใส่ชุดจากยุคแรกของผมที่ Balenciaga ในงานประกาศรางวัลลูกโลกทองคำ”) จนถึง Carolyn Bessett Kennedy ที่เป็นหนึ่งในลูกค้ากลุ่มแรกของเขา “คอลเล็กชั่นแรกของผมที่ Balenciaga ถูกส่งไปที่ห้าง Bergdorf Goodman ตอนนั้นคือในปี 1998 แล้วผมก็ได้รับสายจากที่นั่น แจ้งว่าพวกเขาขายชุดกระโปรงตัวแรกให้กับแคโรลีน เธอไปที่นั่นเพื่อหาชุดสำหรับใส่ไปงานเลี้ยงรับเสด็จสมเด็จพระราชินีของอังกฤษ” เขาเล่าพร้อมรอยยิ้ม
จากเรื่องเล่าผ่านความทรงจำและเกร็ดเล็กน้อยทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าความกระตือรือร้นของเขายังคงชัดเจน แม้ว่าสถานการณ์อันผันผวนในโลกแฟชั่น ข่าวแพร่สะพัดที่สร้างแรงสั่นสะเทือน และวิกฤตเศรษฐกิจที่ยังคงไม่กระเตื้อง การมองโลกในแง่ดีของเขายังไม่ลดทอนลงไปหลังจากผ่านร้อนผ่านหนาวมาถึง 30 ปี ในการเป็นผู้นำด้านงานออกแบบให้กับ 2 แบรนด์ยักษ์ที่มีเรื่องราวให้พูดถึงมากที่สุด ในวัย 53 เด็กน้อยในช่วงฝึกงานผู้ที่อยากประสบความสำเร็จทางสายแฟชั่นยังอยู่ ณ ที่นั้นในตัวเขา “มันคือความน่าตื่นตาตื่นใจไม่รู้จบครับ หมายถึงว่าผมได้มีแพลตฟอร์มแสดงออกอันยอดเยี่ยม เรามีเสียงของตัวเอง คุณรู้ไหมครับ? ผมมีโอกาสได้ส่งเสียงดังให้ทุกคนได้ยินในอุตสาหกรรมนี้ตลอดกว่า 20 ปี มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ผมเลยมีความสุขมากที่ได้ส่งเสียงที่มีให้ได้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
TEXT: KENYA HUNT
TRANSLATOR: WANSUK KHONGRASEE
PHOTO: COURTESY OF LOUIS VUITTON, ETHAN JAMES GREEN