Monday, September 25, 2023

ประสบการณ์ครั้งใหม่สู่ความสำเร็จของคู่ฮอตแห่งปี ‘ฟรีน-เบ็คกี้’ ที่ทั้งคู่ไม่เคยนึกฝัน

เมื่อแรกได้ยินถึงโปรเจ็กต์การสร้างซีรี่ส์ที่เป็นการประกบคู่กันของหญิง-หญิงระหว่าง ฟรีน-สโรชา จันทร์กิมฮะ และ เบ็คกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง ใครเลยจะคิดว่าเมื่อออนแอร์จบไปจนถึงตอนที่ 12 มาในวันนี้ทั้งคู่โด่งดังระดับต้องเดินสายแฟนมีตจากประเทศนี้ไปประเทศนั้นจนตารางแน่นเอี๊ยด และนั่นเป็นสิ่งที่พวกเธอทั้งคู่ไม่เคยนึกฝัน!

From Day 1

ELLE : ช่วยเล่าให้เราฟังถึงจุดเริ่มต้นแรกในวงการ และจุดที่ต้องมาเล่นเรื่องทฤษฎีสีชมพูจนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้

Freen: “ฟรีนเริ่มจากประกวดมิสทีนไทยแลนด์ตอนปี 2016 ค่ะ ช่วง ม.ปลายเลย น่าจะอายุ 18 เข้ารอบ 15 คนสุดท้าย งานในวงการก็เข้ามาเยอะขึ้น มีได้ไปแคสต์โฆษณา ได้ถ่ายเอ็มวีของพี่ทอย The Toys เพลง ก่อนฤดูฝน (Before Rain)’ และของพี่สิงโต นำโชค เพลง ‘Goodbye’ ตอนประกวดมาใหม่ๆ ก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยค่ะ เป็นอินฟลูเอนเซอร์อะไรแบบนั้น พี่ช่างแต่งหน้าชอบเรียกไปเป็นแบบด้วย แล้วเขารู้จักกับพี่ผู้จัดการตอนนี้ของฟรีน ก็เลยเรียกมาแคสต์จนได้เล่นซีรี่ส์ของค่าย IDOL FACTORY เรื่อง แอบหลงรักเดอะซีรีส์ Secret Crush On You เป็นเรื่องแรก ได้เล่นกับน้องเบ็คกี้ เป็นเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน 2 คนในกลุ่ม ทีนี้พี่ผู้จัดเขาเห็นเคมีเวลาอยู่ด้วยกันแล้วงุ้งงิ้งๆ เขาเลยบอกว่ามีอีกเรื่องให้เล่น ซึ่งนั่นก็คือเรื่อง ทฤษฎีสีชมพู GAP The Series ค่ะ ฟรีนตอบตกลงรับเล่นทันทีเพราะรู้สึกว่าพร้อมที่จะถ่ายทอดความรักในรูปแบบนี้” 

Becky: “เข้าวงการมาตอนอายุ 17 ค่ะ จริงๆ ก่อนหน้ามีโมเดลลิ่งมาติดต่อบ้าง แต่เราอาจจะไม่ใช่ไทป์ตรงที่เขาต้องการ มีให้เราไปลดน้ำหนักอะไรแบบนั้น ตอนนั้นคิดว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่เป็นไร เลยไปเรียนที่อังกฤษค่ะ แล้วพอกลับมาได้มีโอกาสไปแคสติ้งเรื่อง TharnType The Series จนได้มาเล่นเรื่อง แอบหลงรัก ที่เล่นเป็นเพื่อนกับพี่ฟรีน ซึ่งก็ไม่ลังเลเลยค่ะในการรับเล่น ทั้งที่รู้ว่ายากแน่นอน

“ตอนเด็กๆ เคยไปประกวดร้องเพลงด้วยค่ะ ความฝันแรกคืออยากเป็นนักร้อง ได้ไปประกวด Thailand’s Got Talent ผ่านแค่รอบแรก แล้วก็มีรายการ The Trainer แต่ก็ไม่ได้ผ่านไปถึงรอบลึก แม้ว่าจะไม่เวิร์กแต่ก็ยังชอบร้องเพลงต่อไปอยู่นะคะ”

Enlightenment

ELLE : มีจุดไหนในการแสดง หรือบทในช่วงตอนไหนที่ทำให้เปลี่ยนการมองโลกหรือการใช้ชีวิตของทั้งคู่บ้าง

Freen: “ตั้งแต่อีพี 1 จนถึง 12 การต่อสู้เรื่องความรักของเขาทั้งคู่มันกลายเป็นไม่ใช่เรื่องของคน 2 คน มันมีปัจจัยเรื่องครอบครัว เพื่อน หรือสังคมต่างๆ อีก มันทำให้ฟรีนมองว่า เออ มันจริงนะ ถ้าสมมติเรามีแฟน แล้วครอบครัวเราไม่ยอมรับ แล้วเพื่อนไม่ช่วยส่งเสริมความรักของเรา เราจะทำอย่างไร ตลอดเวลาในชีวิตที่ผ่านมาของตัวฟรีนเอง ครอบครัวหรือคนรอบข้างจะซัพพอร์ตซึ่งกันและกันเสมอ ฟรีนเลยรู้สึก respect การที่คน 2 คนฝ่าฟันเพื่อความรักของเขามากๆ ค่ะ ถ้าเกิดวันหนึ่งตัวเองมีใครขึ้นมา แล้วมันไม่เป็นไปตามที่เราหวัง หรือว่าเราไม่ได้สู้กันมากพอ ฟรีนก็คงมาย้อนดูว่าขนาดในซีรี่ส์เขายังทำได้เลย ดังนั้น เราต้องสู้นะ”

Becky: “คงเป็นเรื่องความรักมั้งคะ ถ้ามีช่องว่างเรื่องอายุมันจะพอเป็นไปได้หรือเปล่า แต่พอได้แสดงในบทนี้ เลยคิดว่าแค่คนที่เราอยู่ด้วยแล้วทำให้เรามีความสุข เรื่องช่องว่างระหว่างวัยมันไม่สำคัญเลย ซึ่งตอนเด็กหนูอาจจะคิดอีกอย่าง จริงๆ เรื่องความรักมันไปกันได้นะ ถ้าคนสองคนพร้อมจะไปด้วยกัน ส่วนที่พี่ฟรีนบอกว่าแค่คนสองคนรักกันมันไม่พอ มันต้องมีส่วนประกอบอื่นด้วยมันก็มีส่วนจริงนะ บางทีมันจะเป็นเรื่องของคนที่ใช่ แต่ไม่ถูกเวลา” 

Entering girls’ love community

ELLE : รู้สึกอย่างไรที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในการบอกเล่าเรื่องราวความรักหญิง-หญิงเป็นคู่แรก

Freen: “มันเป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่ง มนุษย์ทุกคนสามารถมีความรักได้ ไม่อยากให้ใครมาตัดสิน ความรักก็คือความรัก มนุษย์ทุกสามารถรู้สึกอะไรก็ได้ กับใครก็ได้ อยากให้ทุกคนมองกันแค่นี้เลย ตอนอ่านบท ฟรีนแค่อ่านว่าคุณสามรักม่อนอย่างไร รักด้วยอะไร แค่นั้น พอรับรู้แล้ว รู้สึกแล้ว ฟรีนก็เล่นไปตามนั้น”

Becky: “รู้สึกดีใจที่ได้เป็นเสียงเล็กๆ เสียงหนึ่ง เบ็คกี้อยากผลักดันเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ก็พยายามซัพพอร์ตอยู่ตลอด พอดีตัวเองเรียนกฎหมายใช่ไหมคะ จะรู้กลไกทุกอย่าง คิดว่าความรักคือความรัก แล้วตอนนี้คนรอบตัวก็เปิดรับในเรื่องนี้กันสุดๆ ทั้งที่แต่ก่อนอาจไม่ยอมรับสักเท่าไร แต่ตอนนี้คนทุกเจเนอเรชั่น จะเจนซี หรือเบบี้บูมเมอร์ ทุกคนยอมรับหมดนะ”

Born to be happy

ELLE : ความสุขของทั้งคู่คืออะไร

Freen: “ตอนนี้ขอให้ร่างกายไม่ป่วย ฟรีนรู้สึกว่าสุขภาพสำคัญมากๆ อาจจะมองว่าอายุแค่นี้คิดถึงเรื่องสุขภาพแล้วเหรอ แต่จะบอกว่าช่วงนี้ป่วยบ่อยมากๆ ค่ะ จากการทำงาน สภาพแวดล้อม ทุกอย่างมันบอกให้เราป่วย อันนี้ฟรีนรวมถึงสุขภาพจิตด้วยนะคะ มันมีเรื่องที่ทำให้ทุกข์ในชีวิตอยู่บ้าง เหมือนเราฟัง อ่าน เก็บ แต่เราไม่รู้ว่าเราเก็บอะไรมามากขนาดนั้น เหมือนโยนน้ำแข็งใส่ลงแก้วแล้วมันก็ค่อยๆ เต็ม ซึ่งตอนนี้เข้าข่ายเป็นโรคซึมเศร้านะคะ เริ่มแพนิกและวิตกกังวลก่อน ฟรีนอาศัยการบำบัดกับนักจิตวิทยาอยู่ ซึ่งมันเกิดจากการที่ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลและหาความผิดปกติทางร่างกายไม่เจอ จนวินิจฉัยว่ามันต้องเกี่ยวกับสุขภาพจิตแล้วละ กลายเป็นว่าตอนนี้จะอยู่กับคนเสียงดังๆ หรือพื้นที่ที่คนเยอะมากๆ จะกลัว ความสุขคืออยากขอให้มันเป็นปกติเร็วๆ”

Becky: “คงเป็นการทำงานนะคะ ตอนนี้ทำงานทุกวันแต่มันก็ยังมีไฟอยู่ ได้คิดว่าวันนี้ต้องเจอกับใครบ้าง ต้องทำอะไรบ้าง พอกลับบ้านปุ๊บก็เข้าสู่โหมดนักศึกษากฎหมายไป”

Everlasting journey

ELLE : จากซีรี่ส์ที่จบไป กระแสความสำเร็จมันเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้หรือไม่ 

Freen: “ไม่เคยคิดเลยค่ะ ตอนแรกอยากลองเป็นนักแสดงดูเฉยๆ รู้สึกว่าตัวเองอยากปล่อยของเพราะไม่รู้ว่าตัวเองมีของอะไรในตัวบ้าง พอมาถึงตอนนี้ที่ได้รับอะไรหลายๆ อย่าง มันเลยเกินความคาดหมายสุดๆ และไม่คิดว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จากอีพีแรกที่จัดให้แฟนคลับมาดูร่วมกันที่นั่งยังว่างอยู่เลยเพราะยังไม่ค่อยมีคนรู้จักเราเท่าไร พอมาอีพีสุดท้ายที่ทุกคนซื้อบัตรกันไวมาก หมดภายใน 3 นาที ในฮอลล์มีคน 3 พันกว่าคน นั่งร้องเพลงที่ฟรีนกับเบ็คกี้ร้อง มันทำให้รู้สึกว่าเราซึ่งเป็นเด็กคนหนึ่งจะมายืนตรงจุดนี้ได้ จากคนที่ไม่รู้จักกันเลยด้วยซ้ำ แล้วเขามาให้ความรักกับเรา ตอนนั้นเลยรู้สึกอยากอยู่ข้างๆ พวกเขาเหมือนกัน อยากขอบคุณมากๆ

Becky: “ไม่เคยคิดไม่เคยฝันเหมือนกันค่ะ วันแรกเลยที่มีคนมาติดตามให้การซัพพอร์ต รู้สึกว่าเขาชอบเราที่เป็นเราจริงๆ สมมติถ้ามีวันหนึ่งที่หนูไม่ได้เข้าโซเชียลอัพเดตอะไร ก็จะมีคนมาถามหาละว่าเบ็คกี้อยู่ไหน มองว่าเขาไม่ใช่แฟนคลับธรรมดา เขาเป็นคนในครอบครัว เราอยู่ด้วยกันในทุกเวลา ได้สุขไปด้วยกัน ทุกข์ไปด้วยกัน ตอนที่มีดูอีพีแรกด้วยกันตอนนั้นยังขายบัตรไม่หมดด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่เป็นไร แต่พอตอนอีพี 12 ปุ๊บ บัตรขายหมดเร็วมากๆ รู้สึกภูมิใจในพี่ฟรีน ในตัวแสดงทุกคน แฟนคลับบางคนต้องบินมาจากเมืองนอกเพื่อแค่ให้รู้ว่าเขาอยู่ตรงนี้นะ เขาซัพพอร์ตเราอยู่นะ ตอนที่ได้มองทุกคนแล้วน้ำตาคลอเลยค่ะ เรามาไกลเหมือนกันนะ (ยิ้ม)”

Charisma

ELLE : อยากให้ต่างฝ่ายต่างบอกเสน่ห์ หรือคาริสม่าของแต่ละคน

Freen: “เสน่ห์ของน้องคือความสดใสและรอยยิ้มของเขา ฟรีนจะเป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ ถ้าเราอยู่ด้วยกันจะเป็นน้องที่ดูสดใสกว่า ซึ่งจริงๆ น้องจะดูเป็นอินโทรเวิร์ตมากกว่าฟรีนนะ เพราะชอบอยู่แต่ในห้องมากกว่า แต่เวลาออกมาจากห้องน้องจะเหมือนเอาทุ่งดอกไม้มาด้วย (หัวเราะ) บางวันที่เรารู้สึกไม่ค่อยแฮปปี้ก็ได้น้องนี่แหละที่จะคอยมาถามว่า ‘Are you ok?’ แล้วก็จะยิ้มให้ดู มีความขี้อ้อนเป็นแมว ฟรีนไม่เคยรำคาญน้องเลยนะคะ เป็นสายสปอยล์ เชื่อว่าแฟนๆ ที่มองเบ็คกี้ก็น่าจะสัมผัสถึงรอยยิ้มและความสดใสได้ค่ะ”

Becky: “พี่ฟรีนเป็นคนเก่งที่ไม่รู้ตัวเองว่าเก่ง คือเขาไม่มีทักษะเรื่องร้องเพลง เรื่องเต้น แต่พอต้องทำจริงเขาก็ทำได้ แล้วพี่เขาทำเต็มที่ นับถือเขามากๆ หนูเลยได้เรียนรู้อะไรจากพี่เขามาเยอะ หนูยังรู้สึกขอบคุณที่มีเขา เพราะก็ไม่ได้เพื่อนเยอะอะไรขนาดนั้น ทำแต่งานๆๆๆ และคนที่เข้ามาเราก็ไม่รู้ว่าเขาหวังอะไรจากตรงนี้ของเรา เลยอยากอยู่กับเซฟโซนของเราดีกว่า เลยรู้สึกขอบคุณพี่เขาที่อยู่กับเราทุกช่วงอารมณ์เลยค่ะ แม้ว่ามันจะเคยมีช่วงที่เรางอนกันนะคะ นานมาแล้ว ปกติถ้ามีเรื่องอะไรเบ็คกี้จะเป็นคนเงียบ แต่พี่ฟรีนจะพูด แต่เราจะคุยกันว่าไม่เอาแบบนั้นอีกแล้ว เพราะเราต้องทำงานด้วยกัน อยู่ด้วยกัน เลยถ้ามีอะไรเราจะพูดต่อกัน”

Key of success

ELLE : แต่ละคนคิดว่าอะไรคือเบื้องหลังความสำเร็จของซีรี่ส์เรื่องนี้กันแน่

Freen: “ถ้าเปรียบเป็นรสชาติมันเหมือนรสชาติที่กลมกล่อม ทุกคนทุ่มเทกับเรื่องนี้เท่ากันหมดเลย ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เพราะทุกคนไม่อยากเจ็บเหมือนครั้ง pilot แม้ว่าตอนถ่ายทำช่วง 4-5 เดือนจะเจออุปสรรคเยอะอยู่เหมือนกัน เบ็คกี้ขาหัก อย่างฟรีนเองก็ป่วยบ่อยเพราะต้องมีลงน้ำ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว” 

Becky: “มันคือการที่เราล้มเหลวกันมาก่อนมั้งคะ ถ้าเกิดเราได้ลองแล้วมันผิดพลาดไปแล้ว เราจะไม่หยุดล้มเลิกไปเฉยๆ ก็แค่มองในมุมใหม่ เริ่มทำใหม่ จนกว่าจะไปถึงเป้าหมายของเรา หนูว่าความสำเร็จมันต้องผ่านความล้มเหลวก่อน ถ้าถามว่าช่วง pilot นั้นหนูร้องไห้หรือไม่ ร้องไห้เยอะมาก เสียใจเหมือนกันค่ะ”

Years of Freen & Becky

ELLE : ถ้าเกิดว่าช่วงนี้ถือเป็นปีทองของทั้งคู่ ฟรีนและเบ็คกี้มีแพลนอะไรต่อจากนี้บ้าง

Freen: “ช่วงนี้ก็มีเวิลด์ทัวร์ค่ะ อย่างเดือนหนึ่งก็ประมาณ 2-3 ประเทศ บินเป็นนกเลยตอนนี้ (หัวเราะ) ไปแถบเอเชียให้ครบ จากนั้นน่าจะมีไปนิวยอร์ก หรือที่เม็กซิโก จากนั้นน่าจะมีภาพยนตร์ของเราทั้งสองคนซึ่งเตรียมถ่าย pilot แล้ว คงน่าจะต้องมีเวิร์กช็อปกันจริงจังด้วย บทนี่ทำขึ้นมาใหม่หมดเลย ส่วนเรื่องกำหนดฉายยังไม่ทราบค่ะ”

Becky: “พูดตามตรงเลยว่าแปลนชีวิตก่อนหน้านี้คือไปเรียนกฎหมายที่อังกฤษ เรียนจบที่นั่น และใช้ชีวิตที่นั่น แต่พอประสบความสำเร็จที่นี่ แม้ว่ามันจะเหนื่อยนิดหนึ่ง แต่เราจะเรียนออนไลน์เอา แล้วทำงานที่นี่ เพื่อเรายังได้เจอทุกคน มันเป็นประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตเราสุดๆ ได้เห็นป้ายบิลบอร์ดเราในประเทศต่างๆ ที่ไทม์สแควร์ นิวยอร์กก็เคยมาแล้ว (ยิ้ม) ตอนนี้เบ็คกี้ยังมีผลงานภาพยนตร์ในเดือนมิถุนายนนี้ด้วยเรื่อง ‘Long Live Love’ รับบทเป็นลูกพี่ซันนี่ (สุวรรณเมธานนท์) กับพี่ชมพู่ (อารยา เอ ฮาร์เกต) ค่ะ”

ติดตามชมภาพแฟชั่นเซตและอ่านบทสัมภาษณ์แบบเต็มๆ ได้ในนิตยสารแอล ประเทศไทย ฉบับเดือนมิถุนายน 2023 ทุกแผงหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ

Photographer : Wasu Sukatocharoenkul
Fashion Editor : Jantima Jansawadmethakul
Digital Editor : Rachata Ratanavirotkul
Make up : Phuwadon Dechphrom
Hair: Yajinta Audomkittichod
Assistant Stylist: Pongsathon Kongkawai
Assistant Photographer: Similan Prangprasert , Annop Dawwaset , Aphisit Kiamkhunthod
Fashion Coordinator : Petcharaporn Sornkrang

Latest Posts

Don't Miss

Stay in touch

To be updated with all the latest news, offers and special announcements.