ผลงานแสดงเรื่องแรกผ่านไป 2 ปีแล้ว แต่ไบเบิ้ล-วิชญ์ภาส สุเมตติกุล ยังโพสต์ไอจีที่มีคนไลก์ครึ่งล้าน มีผลงานทั้งสายแฟชั่นและบิวตี้จากแอล.เอ. จนถึงซาอุฯ ทั้งมวลนี้ได้มาเพราะทัศนคติแบบ ‘ร็อกกี้’ ผู้พ่ายแพ้ในเกมคนอื่น แต่ชนะในเป้าหมายของตัวเอง
เมื่อสัมภาษณ์กับ ELLE ครั้งแรกหลังจาก ‘คินน์พอร์ช’ เพิ่งลาจอได้ไม่นาน ไบเบิ้ลยังประหม่าและตอบเป็นภาษาไทยแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ ครั้งนี้เขาบอกว่าจะขอตอบเป็นภาษาไทยทั้งหมด “ต้องฝึกไว้ครับ เพราะหลายๆ ครั้งในการทำงานเราก็เลือกไม่ได้” ซีรี่ส์เรื่องนั้นนอกจากจะเป็นซอฟต์พาวเวอร์ทรงพลังแห่งชาติ ก็ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่เป็นจุดจบสำหรับไบเบิ้ลด้วย หลังจากที่เขาตกตะกอนเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตลอด 2 ปีกับ ELLE
ELLE: หลังๆ มานี้เห็นในไอจี ไบเบิ้ลเดินสายไปงานต่างประเทศหลายที่เลยนะ
“รู้สึกว่าโชคดีมากที่ผมได้ทำงานหลายๆ แบบ อย่างได้ไปงานแบรนด์น้ำหอมที่ปาล์มสปริง ได้เจออินฟลูเอนเซอร์จากประเทศต่างๆ ผมรู้สึกว่าโลกของผมกว้างขึ้นเยอะมาก ทุกอย่างเริ่มจากการไปแคสต์ซีรี่ส์คินน์พอร์ช จากนั้นก็ได้ทำ KINNPORSCHE THE SERIES WORLD TOUR แล้วเราก็ได้มีโอกาสทำงานในวงการมากขึ้น โดยที่เราไม่คาดฝันว่าจะได้มีประสบการณ์เหล่านี้เลย”
“เวลาไปงานอีเวนต์ต่างๆ ไม่ว่าจะในไทยหรือเมืองนอก ผมชอบคุยกับคนว่าเขาเคยทำอะไรมาก่อน และมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ซึ่งแต่ละคนไม่ได้มีที่มาที่ไป หรือมีเส้นทางอาชีพที่เหมือนๆ กัน คือมันไม่มีหลักสูตรสายเอนเตอร์เทนเมนต์ อย่างอินฟลูเอนเซอร์คนหนึ่งเล่าว่ามาจากครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวย แต่เขาวิเคราะห์เองว่าเส้นทางสายโซเชียลมีเดียน่าจะเป็นอาชีพได้ ผมว้าวมาก ตอนอายุ 17 ผมไม่ได้มีวิธีคิดหรือใช้ชีวิตแบบนี้เลย เขาต้องปรับตัวเยอะกว่าผมมาก ผมเข้าวงการก็อายุ 23 เรียนจบแล้ว ผมเลยได้คิดว่าไม่มีวิธีเตรียมตัวสำหรับเรื่องเหล่านี้หรอก เราแค่ต้องปรับตัวไปเรื่อยๆ”
ELLE: ที่บอกว่าไบเบิ้ลลองมาแคสต์ซีรี่ส์คินน์พอร์ช แล้วชีวิตก็พัดพาสิ่งต่างๆ เข้ามา แล้วได้วางแผนหรือปักหมุดไว้บ้างไหมว่าอยากทำอะไรอีกบ้าง
“ผมมีแค่แผนการคร่าวๆ คิดไว้เป็นช่วง 5 ปี อย่างตอนนี้คิดว่าก่อนอายุ 30 อยากปลูกบ้านที่เชียงใหม่ แต่หลักๆ แล้วไม่มีเส้นทางที่แน่ชัดหรอก ผมทำไปวันต่อวันจริงๆ นะ (ยิ้ม) ไม่ใช่แค่ว่าชีวิตคนเราไม่แน่นอน แต่เราควรจะมองภาพให้กว้างที่สุด เราไม่ควรตัดโอกาสตัวเอง เพราะบางสิ่งที่เข้ามาไม่อยู่ในแผน ในเมื่อชีวิตผมเจอสิ่งไม่คาดคิดตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ใครจะรู้ได้ว่าอีก 5 ปี 10 ปีต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร และต่อให้คิด ชีวิตก็มีเรื่องไม่คาดคิดอยู่ดี”
ELLE: เอ๊ะ…แล้วไอจีไบเบิ้ล โพสต์แรกสุดคือปี 2020 ใน 2 ปีกว่ามีคนตาม 3 ล้านแน่ะ
“โพสต์แรกปีนั้นหรือครับ (คิดแป๊บหนึ่ง) ผมเริ่มเล่นไอจีช่วง ม.ปลาย ผมจะคอยลบโพสต์เก่าๆ อยู่เรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าไอจีเป็นเหมือนโปสเตอร์ที่ฉายภาพให้เห็นว่าเราเคยทำอะไรมา ผมไม่ชอบคิดว่ามันคือไทม์ไลน์ชีวิต”
ELLE: ไม่เสียดายยอดไลก์หรือเอนเกจเมนต์เหรอ บางโพสต์ได้ไลก์หลายแสนเลยนะ
“มันคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว…คือบางทีรูปเก่าอาจไม่ตรงกับสิ่งที่เราชอบหรือรสนิยมในตอนนี้แล้วก็ลบ แค่นั้นเลย คนที่เข้ามาดูจะได้เห็นอะไรที่สดใหม่ เป็นปัจจุบัน หรือก่อนปัจจุบันนิดหนึ่งตลอดด้วย ผมมีรูปภาพเก่าๆ เก็บไว้เยอะมาก แต่ไม่ได้โพสต์ รูปเหล่านั้นคืออดีตที่ผมเก็บรักษาไว้ แต่รูปที่โพสต์เราเลือกมาแล้วว่าอะไรที่เราจะแชร์กับสาธารณะ”
ELLE: ที่ฮาคือโพสต์ที่ได้ยอดไลก์เยอะสุด 780,000 ไลก์คือรูปแมว
“(หัวเราะดัง) คนที่มาตามผมจริงๆ คือชอบแมว จริงๆ ถ้าเลือกได้ผมจะเป็นคนที่ไม่มีโซเชียลมีเดียเลยด้วย มันมีด้านท็อกซิกกับด้านที่โลกสวยเกินไป ไม่มีตรงกลางเลยในโลกโซเชียล ถ้าไม่ใช่เพราะงานผมคงไม่มีไอจี แต่เรามีเพราะเอาไว้สื่อสารกับแฟนๆ ในกรณีที่ผมคิดว่ามีอะไรจะแบ่งปัน ถ้าคิดในมุมนั้นก็สบายใจที่จะเล่นโซเชียล มันคืออุปกรณ์ที่มหัศจรรย์มากเลยนะ คนทั่วโลกได้มาติดตามผมก็เพราะโซเชียลมีเดีย แต่เราไม่ควรหมกมุ่นมากเกินไปและควรใช้มันให้ถูก”
ELLE: เพราะมันก็หยิบยื่นโอกาสดีๆ ให้เราเยอะมาก อย่างได้ไปงาน Chopard ที่ซาอุฯ
“ใครจะคิดว่าจะมีคนติดตามเราที่นั่น พอลงเครื่องตอนตี 5 ก็มีแฟนๆ มารอรับด้วย…เราข้ามโลกไปเจอกันจริงๆ เขามารอเราหลายชั่วโมงเพียงเพื่อจะเจอเราตอนเดินไปขึ้นรถออกจากสนามบินเท่านั้นเอง”
ELLE: เวลาเจอภาพแบบนี้รู้สึกอย่างไร
“พลังที่ผมได้รับจากแฟนๆ ไม่ว่าจะในโซเชียลที่มาไลก์หลายแสน หรือเจอแฟนๆ ที่มารอรับ 10 คน ผมรู้สึกว่าไม่ต่างกันเลย ผมจินตนาการไม่ออกว่าการได้เจอคนที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นได้ขนาดนั้นเป็นอย่างไร ทำให้เวลาเราได้เจอปฏิกิริยาของแฟนๆ ที่ส่งมาให้เราประทับใจเสมอ มันคือพลังที่จริงใจมาก และบางทีเจอพลังเยอะๆ แบบนั้นก็หูดับไปเลยนะ อย่างคอนเสิร์ตวันแรกที่อิมแพค พอม่านเปิด ผมหูดับไปเลยเพราะเสียงกรี๊ด เห็นทุกอย่างเป็นภาพเบลอไปหมด เข่าอ่อนไปแป๊บหนึ่ง ผมคิดว่าเป็นประสบการณ์ที่น้อยคนในโลกจะได้เจอ”
ELLE: เผื่อใจไว้ไหมว่าตอนนี้กำลังรุ่งๆ มันอาจเป็นภาวะชั่วคราว
“ผมรู้สึกว่าทุกก้าวที่ผมก้าวไปในวันนี้มันเกินทุกสิ่งที่คาดหวังไว้ไปไกลมากแล้ว ก้าวต่อๆ ไปคือโบนัส ถ้าวันหนึ่งจะไปจบที่ตรงไหนเราก็มาไกลกว่าที่เคยหวังมาตั้งนานแล้ว ฉะนั้นไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย เรารู้สึกขอบคุณกับทุกสิ่งมาตลอดหลังจากวันแรกนั้น แล้วแต่เป้าหมายของคนด้วย เป้าหมายของผมไม่เคยอยากดัง ผมอยากเป็นนักแสดงที่ดี”
ELLE: ครั้งแรกที่ได้คุยกันต้องชวนคุยเรื่องหนัง ไบเบิ้ลถึงจะคุยได้แบบไม่เขิน ซึ่งไม่ได้เอามาลง (ไบเบิ้ลฮา) ครั้งนี้ขอถามคนเนิร์ดหนังหน่อยว่ามองชีวิตตัวเองว่าเหมือนหนังเรื่องอะไร
“ช่วงนี้ผมกลับไปดู Rocky ภาคแรกที่ Sylvester Stallone เล่น เขาเขียนบทเองและอยากแสดงเอง สตูดิโออยากซื้อ แต่อยากให้คนอื่นมาแสดง เขาบอกว่าถ้าขายหนังเรื่องนี้คงเหมือนขายชีวิตตัวเองไป เขาจึงสะกดใจไว้เพื่อรอสตูดิโอที่ให้เขาแสดงเอง อีกอย่างที่ผมชอบหนังเรื่องนี้ก็คือ ก่อนขึ้นชกร็อกกี้ไม่ได้หวังว่าจะชนะ แค่ถ้ารอดมาได้ก็เหมือนทำตามเป้าหมายของตัวเองได้แล้ว ผมชอบข้อคิดตรงนี้มาก คนที่เป็นอันเดอร์ด็อกในหนังหลายๆ เรื่องชอบจบด้วยชัยชนะ ซึ่งไม่จริงเสียหน่อย อันเดอร์ด็อกจะไปสู้เขาได้อย่างไร
“ชีวิตจะโยนอะไรสักอย่างที่เรารับมือไม่ได้มาให้อยู่แล้ว เราอาจจะล้ม แต่เราแค่ต้องลุกขึ้นยืนให้ได้ โดยที่เราไม่ต้องชนะหรอก จริงๆ แล้วร็อกกี้ไม่ได้โง่นะ แต่ไม่ได้ฉลาดในเรื่องที่คนอื่นมองว่าเรื่องนี้ฉลาด ต้องทำแบบนี้จึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ ผมเลยชอบตรงที่เขาไม่ได้ชนะในบรรทัดฐานคนอื่น แต่เขาชนะในเป้าหมายของตัวเอง”
PHOTOGRAPHER: Thanut Treamchanchuchai
FASHION EDITOR: Jantima Jansawadmethakul
TEXT: SUPHAKDIPA POOLSAP
MAKE-UP: Thotsapol Wongbanchang
HAIR: Luckasia Yodmaingam
ASSISTANT STYLIST: Pinpinut Phanlam
ASSISTANT PHOTOGRAPHER: Posawat Saklam, Supasit Sooksawat