หลังจากการปล่อยทีเซอร์ซีรี่ส์ที่กำลังมาแรงที่สุดอย่าง Bridgerton ซีซั่น 3 ภาค 2 เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แฟน ๆ ต่างยังจับตามองว่าปมความสัมพันธ์ของคู่ตัวละครหลักประจำซีซั่นอย่าง Penelope (Nicola Coughlan) และ Colin (Luke Newton) จะดำเนินไปอย่างไร แต่นอกเหนือไปกว่านั้น คงจะไม่พูดถึงการปรากฏตัวในคอสตูมใหม่ของ Penelope ที่น่าตกตะลึงไปไม่ได้ แอลจะพาทุกคนไปเยี่ยมชมเบื้องหลังภัสตราภรณ์ พร้อมย้อนรอยประวัติศาสตร์แฟชั่นในยุครีเจนซี่ผ่านซีรี่ส์เรื่องนี้ที่แฝงซึ่งนัยยะทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรม แต่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแบบ Bridgerton
อ่านเพิ่มเติม: เปิดบทสัมภาษณ์พิเศษกับ 2 นักแสดงคู่ขวัญ ‘Nicola-Luke’ จากซีรี่ส์ฮิต BRIDGERTON 3
Bridgerton เป็นซีรี่ส์เรื่องราวความรักและดราม่าที่ตีแผ่สังคมอังกฤษยุครีเจนซี่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 แฟชั่นที่ปรากฏในเรื่องเป็นการผสมผสานระหว่างเสื้อผ้าอิงประวัติศาสตร์และการตีความของทีมงาน โดยทางผู้จัดเผยว่ารายละเอียดเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของยุครีเจนซี่มีการพูดถึงค่อนข้างน้อย ในแง่หนึ่งจึงกลายเป็นพื้นที่สำหรับการรังสรรค์ความแฟนตาซีและความโมเดิร์นลงไปในซีรี่ส์เรื่องนี้
แม้ซีรี่ส์ Bridgerton จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ที่มีการดัดแปลงไป แต่กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นเพราะซีรี่ส์เรื่องนี้ เราถึงได้สัมผัสกลิ่นอายของยุครีเจนซี่ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะกาล
เมื่อพูดถึงยุครีเจนซี่ ตั้งแต่ ค.ศ. 1811-1820 เรามักจะเห็นภาพความรุ่มรวยทางศิลปะวัฒนธรรม งานเต้นรำ และฤดูสังคมที่ผู้คนจากทั่วสารทิศมารวมตัวกัน ณ กรุงลอนดอน อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความงดงามเหล่านั้นก็แฝงไว้ซึ่งการแบ่งแยกชนชั้น ชาติตระกูล และสถานะทางสังคม โดยหนึ่งในวิธีการแสดงออกก็คือ ‘แฟชั่น’ นั่นเอง
ในยุครีเจนซี่ที่สรรเสริญสังคมชนชั้นสูง ผู้คนต่างสวมใส่เสื้อผ้าที่หรูหราเพื่อบ่งบอกสถานะทางสังคม โดยหนึ่งในเอกลักษณ์เสื้อผ้าของสตรียุคนี้คือ Empire Silhouette ซึ่งมีลักษณะเป็นชุดเดรสเข้ารูปใต้ทรวงอก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะคลาสสิกยุคกรีกโรมัน แตกต่างจากยุคก่อนหน้าของอังกฤษที่นิยมใส่คอร์เซตรัดรูปและกระโปรงฟูฟ่องหลายชั้น
ในยุครีเจนซี่จะใช้วัสดุที่มีความเบาสบาย โปร่ง และพลิ้วไหว อาทิ ผ้าซาติน ผ้าไหม เน้นการชื่นชมรูปร่างที่งดงามตามธรรมชาติ มักใช้สีโทนอ่อนที่เรียบง่ายอย่างสีขาวหรือสีครีม และอาจประดับด้วยลูกไม้แซม เสื้อผ้าสตรีในยุคนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความเรียบหรูและความเฟมินีน อาจกล่าวได้ว่า แฟชั่นยุครีเจนซี่คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างศิลปะแบบนีโอคลาสสิกและโรแมนติก สะท้อนความรู้สึกที่เรียบง่ายแต่สง่างามผ่านอาภรณ์บนเรือนกาย
ทั้งนี้ทีมผู้จัดซีรี่ส์ Bridgeton เผยว่าได้เพิ่มสีสันและดีเทลอื่นๆ ลงไป นอกจากการปักเลื่อมคริสตัลในซีรี่ส์ที่ทางทีมงามตั้งใจทำเพื่อเน้นย้ำความหรูหรา อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้แฟชั่นใน Bridgerton มีรายละเอียดแตกต่างจากประวัติศาสตร์ คือการดัดแปลง Colour Palette หรือโทนสีของคอสตูมเพื่อแสดงถึงความแตกต่างของชาติตระกูล รวมถึงการพัฒนาของตัวละครครั้งสำคัญในชีวิต
แต่ละตระกูลจะแบ่งด้วย Colour Palette ที่แตกต่างกัน ตระกูล Bridgerton มักจะใช้สีโทนเย็น เช่น สีฟ้าหรือสีน้ำเงิน ที่มักสื่อถึงการเป็นตระกูลผู้ดีเก่าและคนรวยในยุคนั้น กลับกันตระกูล Featherington จะเลือกใช้เสื้อผ้าสีโทนร้อนหรือสี Citrus ที่มีความฉูดฉาด อาทิ ส้ม เหลือง หรือแม้แต่สีเขียวมะนาว เป็นการบ่งบอกถึงการเป็นเศรษฐีใหม่และแรงปรารถนาที่จะสร้างความโดดเด่นให้ถูกมองเห็นในแวดวงสังคมชนชั้นสูง
เมื่อพูดถึงตัวละครหลักใน Bridgerton ซีซั่น 3 อย่าง Penelope จากบ้านเฟทเธอริงตัน ที่ปรากฏตัวในลุคใหม่เป็นครั้งแรก ณ งานเต้นรำครั้งแรกประจำฤดูกาล George Sayer หนึ่งในทีมนักออกแบบเครื่องแต่งกายหญิง เผยว่าการที่ Penelope เปลี่ยนสีเสื้อผ้ามาใส่สีเขียวเป็นหลักถือเป็นสัญญะสำคัญว่าเธอต้องการที่จะปลดแอกจากการควบคุมของครอบครัวและสร้างความเปลี่ยนแปลง ทั้งยังเป็นการบอกเป็นนัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับ Colin Bridgerton โดยสีเหลืองเดิมของ Penelope ผสมกับสีฟ้าหรือน้ำเงินของ Colin แปรเปลี่ยนเป็นเดรสสีเขียวที่เธอใส่ตลอดซีซั่น
นอกจากนี้ทางทีมงานยังเผยว่า เพื่อให้การปรากฏตัวในลุคใหม่ของ Penelope ตราตรึงใจมากขึ้น ได้ออกแบบทรงผมของเธอให้เป็นลอนหลวม แตกต่างจากซีซั่นที่ผ่านมาก่อนหน้า โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Rita Hayworth, Marilyn Monroe และ Jessica Rabbit นอกจากนี้ผมสีแดงสวยของเธอที่ตัดกับเดรสสีเขียวนั้นยิ่งขับเน้นให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตัวละครที่ชื่อ Penelope สอดรับกับสโลแกนในโปสเตอร์โปรโมตที่ว่า “Even a wallflower can bloom” (เพียงกายเป็นดอกไม้ริมกำแพง แม้นไร้แสงวันหนึ่งย่อมแบ่งบาน)
สำหรับใครยังติดใจความดุเด็ดเผ็ดมันจากภาคที่แล้ว มาร่วมติดตามซีรี่ส์ Bridgerton ซีซั่น 3 ภาค 2 ไปพร้อมกันในวันที่ 13 มิถุนายน ทางสตรีมมิ่ง Netflix
Source: 1 2
Text: WASAWAT NATPATCHARAKUL